โตเกียว 1: เริ่มต้นเดินทาง โตเกียวทาว่า โอไดบะ
อยู่ๆไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ไงเนี่ย …
ปลายปี 2545 เล่นเนทหาโน่นหานี่ไปตามปกติ แต่แล้วก็มาสะดุดที่ประกาศ “summer 2 อาทิตย์ที่โตเกียว” เลยเข้าไปดูรายละเอียดในเวบที่ให้ไว้ และก็โทรไปถามตามเบอร์ที่ลงไว้ ขออนุญาตแม่โดดงาน (ลาพักร้อนสิ!) สองอาทิตย์ เคลียร์งานและเงินของบริษัทเรียบร้อย แม่อนุมัติอย่างไม่ยากเย็น (แหงสิ ออกตังไปเที่ยวเองด้วยนี่) แต่ชักกลัวเราโดนหลอก ก็ประกาศที่เราเจอมันอยู่ในเนท ดูข้อมูลเพิ่มเติมในเวบบริษัทแล้วก็โทรคุยกะเจ้าหน้าที่ ตกลงแล้วไอ้บริษัทนี้มันมีตัวตนรึเปล่าก็ไม่มีใครรู้ ตอนจะจ่ายเงินจองแม่เลยบอกให้ไปจ่ายที่บริษัทเค้า ไปดูสิว่าออฟฟิสผีหลอกเปล่า แถมป๊ายังบอกให้ฝากเพื่อนที่ญี่ปุ่นไปดูด้วยว่า โรงเรียนที่เราจะไปเรียนนี่มีจริงรึเปล่า วุ่นวายจริงๆ (แต่ก็ปลอดภัยไว้ก่อนน่า)
ระหว่างนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเที่ยวโตเกียว ส่งเมล์หาฮิโรกับโยโกะว่าเราจะไปเที่ยวโตเกียวนะ ทั้งสองคนก็กระตือรือร้นช่วยเหลือเต็มที่ จริงๆแล้วจุดมุ่งหมายหลักของทริปที่จัดนี่คือการให้นักเรียนที่อยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นลองไปsurvey ระยะสั้นดูก่อน ถ้าอยู่ได้ทุกอย่างโอเคก็ค่อยมาลงเรียนระยะยาว (บริษัทที่จัดเป็นเอเย่นส่งนักเรียนไปเรียนที่ญี่ปุ่นน่ะ) ท่องเที่ยวก็เหมือนเป็นเรื่องรองลงมา (แต่บางคนก็มากะเที่ยวอย่างเดียวเหมือนเราก็มีนะ)
เจอกับคนที่จะไปด้วยกันวันขอวีซ่า ทริปนี้มี 10 คน
1.เราเอง
2.แอน เจ้าหน้าที่ของบริษัทที่จะพาเราไป เค้าบอกถ้ารอบอื่นไม่มีเจ้าหน้าที่ไปนะ ต้องไปกันเอง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จัดไปโรงเรียนนี้ เลยต้องมีคนไปดูหน่อยว่าโรงเรียนเค้าดูแลดีรึเปล่า โชคดีที่แอนไปด้วย เพราะในกลุ่มที่ไปนี่แทบพูดญี่ปุ่นกันไม่ได้เลย แถมแอนยังพกกล้องวิดิโอไปถ่ายพวกเราตลอดทริปด้วย จะได้เอากลับมาไว้หลอกล่อนักเรียนรุ่นต่อไป แอนอายุเท่าๆเรา พูดภาษาญี่ปุ่นคล่องปรื๋อ แต่คุยไปคุยมา ครั้งนี้จะเป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกของแอน o_O หวั่นใจเล็กน้อยว่าจะรอดมั๊ยเนี่ย
3.พี่เบนซ์ หนุ่มใหญ่ร่างใหญ่ อายุ 30 โสด (แต่มีแฟนแล้ว) วันแรกๆพี่แกวางตัวเคร่งขรึม น่าเกรงขามมาก แต่พอไปที่โน่นแล้ว โอ.. เสียงหัวเราะพี่แกทำเอาฟอร์มหายหมด กลายเป็นคนขำขันไปทันใด พูดญี่ปุ่นพอได้นิดหน่อย แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย !!
4.ทราย เพิ่งจบมหาลัยมาสดๆร้อนๆจากรั้วเดียวกัน (แต่คนละคณะ) พูดญี่ปุ่นได้แค่ศัพท์พื้นฐานเหมือนเรา (เท่ากับ “แทบไม่ได้เลย” นั่นเอง) เป็นคนเงียบๆว่าไงว่าตาม เข้ากะทุกคนได้ดี แต่ก็พิถีพิถันกับการแต่งตัวไม่น้อย
5.สุ คนนี้ก็เพิ่งจบเหมือนกัน วันแรกๆที่รู้จักก็ช่างพูดช่างคุย ดูเฮฮาดี แต่หลังๆน่ารำคาญมาก
6.ตูน เด็กนักเรียนม.ปลาย กำลังจะขึ้นม.6 ตั้งใจไว้ว่าเรียนจบม.ปลายจะไปเรียนมหาลัยที่ญี่ปุ่น ตัวใหญ่มากหนักประมาณ 100 กิโล (อันนี้ได้รับคำยืนยันจากเจ้าตัวเอง) ชอบอาหาร การ์ตูน และเกมส์เป็นพิเศษ นิสัยดีมาก เป็นน้องชายที่น่ารักของคนในทริปทุกคน
7-8-9-10-อันนี้มาเป็นครอบครัวเลย จั่น (นิสิตแพทย์ปี 3 นะเนี่ย อย่าล้อเล่นไป) แบบว่าคุณเธอหลุดโลกมาก ขำและบ้าดี แต่เธอก็ไม่เคยทำความเดือดร้อน/รำคาญให้คนอื่น น้องจอย นักเรียนม.ต้น (สองพี่น้องนี่เด็กโรงเรียนเดียวกะเรานะเนี่ย) เงียบมาก แทบไม่พูดคุยกะคนอื่น จนกระทั่งวันนึงนั่งเบื่อๆกันที่หอ ถามกันว่ามีใครเอาไพ่มารึเปล่า เท่านั้นแหละ น้องจอยกระโดดขึ้นมา “จอยเอามา” วิ่งไปเอามาแจกอย่างรวดเร็ว 5555 อีกสองคนคือพ่อแม่ของจั่นและจอย คงเพราะไม่ค่อยแน่ใจกับการไปครั้งนี้(เหมือนพ่อแม่เราละมั้ง) เลยขอตามไปดูหน่อย เลยไม่อยากปล่อยให้ลูกสาว 2 คนที่พูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย (มาเพื่อเที่ยวเหมือนเรา) ไปญี่ปุ่นกับใครไม่รู้ (ครั้งแรกที่เจอแม่เค้าก็มาถามว่า รู้จักบริษัทนี้ทางอินเตอร์เนทรึเปล่าคะ สงสัยจะไม่ค่อยแน่ใจเหมือนแม่เรา)
17 มีนาคม 2546
เริ่มต้นการเดินทาง ณ สนามบินดอนเมือง กรุงเทพ เครื่องออก 5 ทุ่ม แต่2 ทุ่มครึ่งกว่าๆ เราก็มาถึงแล้ว (ป๊ามาส่งก็งี้แหละ “ไปรอดีกว่าไปสาย”ทั้งปี) รออยู่ซักพักก็ยังไม่มีใครมาเลย เลยบอกป๊าให้กลับไปก่อนก็ได้ แล้วก็เหลือเราคนเดียว กับกระเป๋าเดินทางใบกลางๆ (ต้องแบกกันเองเอาใบใหญ่ไปเดียวจะไม่รอด) พอหลังสามทุ่มก็เริ่มทยอยกันมา แบบแต่ละคนเนี่ยคนมาส่งกันเพียบ ถ่ายรูปๆกันใหญ่ เราเลยดูไร้ญาติขาดมิตรไปโดยปริยาย (ไปแค่นี้จะส่งไรกันนักหนาเนี่ย)
18 มีนาคม 2546
ถึงสนามบินนาริตะตั้งแต่เช้าตรู่ (6.30 น.) เดินงัวเงียกันลงมาเอากระเป๋าไปให้เค้าส่ง ที่นี่ดีจังมีบริการส่งกระเป๋าเดินทางจากสนามบินถึงที่พักด้วย แล้วพวกเราก็ไปขึ้นรถบัสเข้าตัวเมือง (ชินจูกุ) นั่งรถอยู่เป็นชั่วโมงเลย ไกลมาก แอร์ไม่เปิด เราก็เมารถอีก กว่าจะถึงหน้าซีดแล้วซีดอีก
ถึงชินจูกุก็ต่อรถไฟไป Koenji ไปดูโรงเรียนที่พรุ่งนี้จะมาเรียนกัน ช่วงบ่ายไม่มีโปรแกรมอะไร ฮาเซกาว่าซัง (Boss ใหญ่ของบริษัทที่พามาเนี่ย ตามมาดูความเรียบร้อย) เลยพานั่งรถไฟฟ้าเที่ยว Tokyo Tower (ออกเสียงแบบญี่ปุ่นก็ต้อง โทคิโย ทาว่า) แต่เราไม่ได้ขึ้นไปหรอก ตั้ง 800 เยน เคยอ่านมาว่ามีตึกที่ว่าการเมืองโตเกียวขึ้นไปชมวิวเมืองได้ ฟรี! รอไปดูอันนั้นก็ได้ เลยอยู่ข้างล่างเดินดูของที่ระลึกทั้งหลาย (แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรหรอก) แล้วก็เลยไปนั่งกินข้าว มื้อแรกที่ญี่ปุ่นก็นี่เลย Katsu-kare ข้าวแกงกะหรี่หมูทอดนั่นเอง ที่นี่ร้านนึงมีไม่กี่เมนูเอง แบบดูตัวอย่างหน้าร้านแล้วก็มาสั่ง+จ่ายตังในร้าน
กินกันเสร็จก็ไปลงรถไฟใต้ดิน ต่อด้วยรถไฟฟ้ารางเดียว (วันเดียวขึ้นมันทุกรถไฟเลย) นั่งไปลง Odaiba ที่เป็นโซนเมืองใหม่ที่สร้างอยู่บนขยะ! จริงๆนะ เค้าเอาขยะมาถมทะเลจนเป็นแผ่นดินแล้วก็สร้างเมืองขึ้นมา (โอ..ทำได้ไงเนี่ย) ข้าม Rainbow Bridge ไปด้วย แล้วก็มีห้าง สวนสนุก อ้อ... มีของจำลองพวกเทพีสันติภาพ (ที่ในเรื่องสื่อรักออนไลน์คุณฮาตะมานัดเจอกับตุ๊กตาไล่ฝนไง) เราก็เดินๆอยู่ในห้าง ชั้นสองเค้าจำลองเป็นเมืองสมัยโบราณทั้งชั้นเลย เป็นร้านโบราณ ขายของเล่นโบราณ ขนมโบราณ (เหมือนเมืองไทยมีเฉาก๊วยโบราณ ก๋วยเตี๋ยวเรือโบราณ) เราซื้อพัดกระดาษสีแดงลายแมวมาอันนึง น่ารักดี
เดินกันเสร็จก็กลับไปที่หอพักที่ Nakano ทำเลดีมาก ใกล้สถานีมาก แถมแถวนั้นก็มีร้านอาหาร ร้านค้าเพียบ ไม่อดตายแล้วเรา พวกเรานอนกัน 3 ห้อง พี่เบนซ์กะตูนห้องนึง จั่นกะจอยห้องนึง ที่เหลือสาวๆสี่คนนอนห้องใหญ่ มีห้องน้ำกับโทรศัพท์ในตัวเอง เย้! (ห้องใหญ่ที่ว่าคือห้องที่สามารถเอาฟุตองสี่อันปูแล้วเหลือที่พอวางกระเป๋าของแต่ละคนที่ปลายเท้าได้น่ะ - -‘ )
มาที่นี่ภาษาจีนมีประโยชน์กว่าที่คิด เพราะที่นี่เค้าใช้ตัวคันจิเยอะมาก ฟังไม่ออก พูดไม่ได้ แต่ก็พออ่านบางอย่างรู้เรื่อง คนดูแลหอกับเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนก็คนจีน เราเลยสบายคุยกะเค้ารู้เรื่อง พวกชื่อสถานีก็คันจิหมด เราดูทีเดียวก็จำได้ (ภาษาอังกฤษมีประโยชน์น้อยมาก เพราะป้ายอังกฤษและคนพูดอังกฤษได้มีน้อยมากๆ) วันแรกเหนื่อยกันมาก เพราะนอนกันมาน้อยและก็เดินเยอะมาก อาบน้ำกันเสร็จก็เข้านอน หลับปุ๋ย....
ปลายปี 2545 เล่นเนทหาโน่นหานี่ไปตามปกติ แต่แล้วก็มาสะดุดที่ประกาศ “summer 2 อาทิตย์ที่โตเกียว” เลยเข้าไปดูรายละเอียดในเวบที่ให้ไว้ และก็โทรไปถามตามเบอร์ที่ลงไว้ ขออนุญาตแม่โดดงาน (ลาพักร้อนสิ!) สองอาทิตย์ เคลียร์งานและเงินของบริษัทเรียบร้อย แม่อนุมัติอย่างไม่ยากเย็น (แหงสิ ออกตังไปเที่ยวเองด้วยนี่) แต่ชักกลัวเราโดนหลอก ก็ประกาศที่เราเจอมันอยู่ในเนท ดูข้อมูลเพิ่มเติมในเวบบริษัทแล้วก็โทรคุยกะเจ้าหน้าที่ ตกลงแล้วไอ้บริษัทนี้มันมีตัวตนรึเปล่าก็ไม่มีใครรู้ ตอนจะจ่ายเงินจองแม่เลยบอกให้ไปจ่ายที่บริษัทเค้า ไปดูสิว่าออฟฟิสผีหลอกเปล่า แถมป๊ายังบอกให้ฝากเพื่อนที่ญี่ปุ่นไปดูด้วยว่า โรงเรียนที่เราจะไปเรียนนี่มีจริงรึเปล่า วุ่นวายจริงๆ (แต่ก็ปลอดภัยไว้ก่อนน่า)
ระหว่างนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเที่ยวโตเกียว ส่งเมล์หาฮิโรกับโยโกะว่าเราจะไปเที่ยวโตเกียวนะ ทั้งสองคนก็กระตือรือร้นช่วยเหลือเต็มที่ จริงๆแล้วจุดมุ่งหมายหลักของทริปที่จัดนี่คือการให้นักเรียนที่อยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นลองไปsurvey ระยะสั้นดูก่อน ถ้าอยู่ได้ทุกอย่างโอเคก็ค่อยมาลงเรียนระยะยาว (บริษัทที่จัดเป็นเอเย่นส่งนักเรียนไปเรียนที่ญี่ปุ่นน่ะ) ท่องเที่ยวก็เหมือนเป็นเรื่องรองลงมา (แต่บางคนก็มากะเที่ยวอย่างเดียวเหมือนเราก็มีนะ)
เจอกับคนที่จะไปด้วยกันวันขอวีซ่า ทริปนี้มี 10 คน
1.เราเอง
2.แอน เจ้าหน้าที่ของบริษัทที่จะพาเราไป เค้าบอกถ้ารอบอื่นไม่มีเจ้าหน้าที่ไปนะ ต้องไปกันเอง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จัดไปโรงเรียนนี้ เลยต้องมีคนไปดูหน่อยว่าโรงเรียนเค้าดูแลดีรึเปล่า โชคดีที่แอนไปด้วย เพราะในกลุ่มที่ไปนี่แทบพูดญี่ปุ่นกันไม่ได้เลย แถมแอนยังพกกล้องวิดิโอไปถ่ายพวกเราตลอดทริปด้วย จะได้เอากลับมาไว้หลอกล่อนักเรียนรุ่นต่อไป แอนอายุเท่าๆเรา พูดภาษาญี่ปุ่นคล่องปรื๋อ แต่คุยไปคุยมา ครั้งนี้จะเป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกของแอน o_O หวั่นใจเล็กน้อยว่าจะรอดมั๊ยเนี่ย
3.พี่เบนซ์ หนุ่มใหญ่ร่างใหญ่ อายุ 30 โสด (แต่มีแฟนแล้ว) วันแรกๆพี่แกวางตัวเคร่งขรึม น่าเกรงขามมาก แต่พอไปที่โน่นแล้ว โอ.. เสียงหัวเราะพี่แกทำเอาฟอร์มหายหมด กลายเป็นคนขำขันไปทันใด พูดญี่ปุ่นพอได้นิดหน่อย แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย !!
4.ทราย เพิ่งจบมหาลัยมาสดๆร้อนๆจากรั้วเดียวกัน (แต่คนละคณะ) พูดญี่ปุ่นได้แค่ศัพท์พื้นฐานเหมือนเรา (เท่ากับ “แทบไม่ได้เลย” นั่นเอง) เป็นคนเงียบๆว่าไงว่าตาม เข้ากะทุกคนได้ดี แต่ก็พิถีพิถันกับการแต่งตัวไม่น้อย
5.สุ คนนี้ก็เพิ่งจบเหมือนกัน วันแรกๆที่รู้จักก็ช่างพูดช่างคุย ดูเฮฮาดี แต่หลังๆน่ารำคาญมาก
6.ตูน เด็กนักเรียนม.ปลาย กำลังจะขึ้นม.6 ตั้งใจไว้ว่าเรียนจบม.ปลายจะไปเรียนมหาลัยที่ญี่ปุ่น ตัวใหญ่มากหนักประมาณ 100 กิโล (อันนี้ได้รับคำยืนยันจากเจ้าตัวเอง) ชอบอาหาร การ์ตูน และเกมส์เป็นพิเศษ นิสัยดีมาก เป็นน้องชายที่น่ารักของคนในทริปทุกคน
7-8-9-10-อันนี้มาเป็นครอบครัวเลย จั่น (นิสิตแพทย์ปี 3 นะเนี่ย อย่าล้อเล่นไป) แบบว่าคุณเธอหลุดโลกมาก ขำและบ้าดี แต่เธอก็ไม่เคยทำความเดือดร้อน/รำคาญให้คนอื่น น้องจอย นักเรียนม.ต้น (สองพี่น้องนี่เด็กโรงเรียนเดียวกะเรานะเนี่ย) เงียบมาก แทบไม่พูดคุยกะคนอื่น จนกระทั่งวันนึงนั่งเบื่อๆกันที่หอ ถามกันว่ามีใครเอาไพ่มารึเปล่า เท่านั้นแหละ น้องจอยกระโดดขึ้นมา “จอยเอามา” วิ่งไปเอามาแจกอย่างรวดเร็ว 5555 อีกสองคนคือพ่อแม่ของจั่นและจอย คงเพราะไม่ค่อยแน่ใจกับการไปครั้งนี้(เหมือนพ่อแม่เราละมั้ง) เลยขอตามไปดูหน่อย เลยไม่อยากปล่อยให้ลูกสาว 2 คนที่พูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย (มาเพื่อเที่ยวเหมือนเรา) ไปญี่ปุ่นกับใครไม่รู้ (ครั้งแรกที่เจอแม่เค้าก็มาถามว่า รู้จักบริษัทนี้ทางอินเตอร์เนทรึเปล่าคะ สงสัยจะไม่ค่อยแน่ใจเหมือนแม่เรา)
17 มีนาคม 2546
เริ่มต้นการเดินทาง ณ สนามบินดอนเมือง กรุงเทพ เครื่องออก 5 ทุ่ม แต่2 ทุ่มครึ่งกว่าๆ เราก็มาถึงแล้ว (ป๊ามาส่งก็งี้แหละ “ไปรอดีกว่าไปสาย”ทั้งปี) รออยู่ซักพักก็ยังไม่มีใครมาเลย เลยบอกป๊าให้กลับไปก่อนก็ได้ แล้วก็เหลือเราคนเดียว กับกระเป๋าเดินทางใบกลางๆ (ต้องแบกกันเองเอาใบใหญ่ไปเดียวจะไม่รอด) พอหลังสามทุ่มก็เริ่มทยอยกันมา แบบแต่ละคนเนี่ยคนมาส่งกันเพียบ ถ่ายรูปๆกันใหญ่ เราเลยดูไร้ญาติขาดมิตรไปโดยปริยาย (ไปแค่นี้จะส่งไรกันนักหนาเนี่ย)
18 มีนาคม 2546
ถึงสนามบินนาริตะตั้งแต่เช้าตรู่ (6.30 น.) เดินงัวเงียกันลงมาเอากระเป๋าไปให้เค้าส่ง ที่นี่ดีจังมีบริการส่งกระเป๋าเดินทางจากสนามบินถึงที่พักด้วย แล้วพวกเราก็ไปขึ้นรถบัสเข้าตัวเมือง (ชินจูกุ) นั่งรถอยู่เป็นชั่วโมงเลย ไกลมาก แอร์ไม่เปิด เราก็เมารถอีก กว่าจะถึงหน้าซีดแล้วซีดอีก
ยืนรอรถไฟกันที่สถานี
ถึงชินจูกุก็ต่อรถไฟไป Koenji ไปดูโรงเรียนที่พรุ่งนี้จะมาเรียนกัน ช่วงบ่ายไม่มีโปรแกรมอะไร ฮาเซกาว่าซัง (Boss ใหญ่ของบริษัทที่พามาเนี่ย ตามมาดูความเรียบร้อย) เลยพานั่งรถไฟฟ้าเที่ยว Tokyo Tower (ออกเสียงแบบญี่ปุ่นก็ต้อง โทคิโย ทาว่า) แต่เราไม่ได้ขึ้นไปหรอก ตั้ง 800 เยน เคยอ่านมาว่ามีตึกที่ว่าการเมืองโตเกียวขึ้นไปชมวิวเมืองได้ ฟรี! รอไปดูอันนั้นก็ได้ เลยอยู่ข้างล่างเดินดูของที่ระลึกทั้งหลาย (แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรหรอก) แล้วก็เลยไปนั่งกินข้าว มื้อแรกที่ญี่ปุ่นก็นี่เลย Katsu-kare ข้าวแกงกะหรี่หมูทอดนั่นเอง ที่นี่ร้านนึงมีไม่กี่เมนูเอง แบบดูตัวอย่างหน้าร้านแล้วก็มาสั่ง+จ่ายตังในร้าน
กินกันเสร็จก็ไปลงรถไฟใต้ดิน ต่อด้วยรถไฟฟ้ารางเดียว (วันเดียวขึ้นมันทุกรถไฟเลย) นั่งไปลง Odaiba ที่เป็นโซนเมืองใหม่ที่สร้างอยู่บนขยะ! จริงๆนะ เค้าเอาขยะมาถมทะเลจนเป็นแผ่นดินแล้วก็สร้างเมืองขึ้นมา (โอ..ทำได้ไงเนี่ย) ข้าม Rainbow Bridge ไปด้วย แล้วก็มีห้าง สวนสนุก อ้อ... มีของจำลองพวกเทพีสันติภาพ (ที่ในเรื่องสื่อรักออนไลน์คุณฮาตะมานัดเจอกับตุ๊กตาไล่ฝนไง) เราก็เดินๆอยู่ในห้าง ชั้นสองเค้าจำลองเป็นเมืองสมัยโบราณทั้งชั้นเลย เป็นร้านโบราณ ขายของเล่นโบราณ ขนมโบราณ (เหมือนเมืองไทยมีเฉาก๊วยโบราณ ก๋วยเตี๋ยวเรือโบราณ) เราซื้อพัดกระดาษสีแดงลายแมวมาอันนึง น่ารักดี
ยืนถ่ายกะสะพานสายรุ้งจากบนเกาะกองขยะ
เดินกันเสร็จก็กลับไปที่หอพักที่ Nakano ทำเลดีมาก ใกล้สถานีมาก แถมแถวนั้นก็มีร้านอาหาร ร้านค้าเพียบ ไม่อดตายแล้วเรา พวกเรานอนกัน 3 ห้อง พี่เบนซ์กะตูนห้องนึง จั่นกะจอยห้องนึง ที่เหลือสาวๆสี่คนนอนห้องใหญ่ มีห้องน้ำกับโทรศัพท์ในตัวเอง เย้! (ห้องใหญ่ที่ว่าคือห้องที่สามารถเอาฟุตองสี่อันปูแล้วเหลือที่พอวางกระเป๋าของแต่ละคนที่ปลายเท้าได้น่ะ - -‘ )
มาที่นี่ภาษาจีนมีประโยชน์กว่าที่คิด เพราะที่นี่เค้าใช้ตัวคันจิเยอะมาก ฟังไม่ออก พูดไม่ได้ แต่ก็พออ่านบางอย่างรู้เรื่อง คนดูแลหอกับเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนก็คนจีน เราเลยสบายคุยกะเค้ารู้เรื่อง พวกชื่อสถานีก็คันจิหมด เราดูทีเดียวก็จำได้ (ภาษาอังกฤษมีประโยชน์น้อยมาก เพราะป้ายอังกฤษและคนพูดอังกฤษได้มีน้อยมากๆ) วันแรกเหนื่อยกันมาก เพราะนอนกันมาน้อยและก็เดินเยอะมาก อาบน้ำกันเสร็จก็เข้านอน หลับปุ๋ย....
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home