= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันอังคาร, ตุลาคม 18, 2548

18/10 : วัดเจาแจ้ - แพนด้า - ศาลาสามก๊ก - หลวงพ่อโต

รินจัง: ไปถึงสนามบินประมาณเที่ยงคืน พร้อมกับลูกทัวร์คนอื่นรวมกัน 20คน ไกด์ชื่อพี่จ๊ะเอ๋ และ พี เราเดินทางโดย Air China CA 402 เวลา 03.00 ใช้เวลาเดินทางไป เมืองเฉิงตู(Chengdu) ประมาณ 2.50 ชั่วโมง ขอบอกว่าเครื่องบินจีนเล็กมาก นั่งไม่สบายเลยอ่ะ อาหารบนเครื่องก้อไม่อร่อย T-T เค้ามีแจกถั่วลิสงอบเกลือ แล้วก้อ Hamburger (เย็นๆ) กับ chocolate kitkat 1 แท่ง จากนั้นเราก้อนอนจนถึงจีน

^^dear^^ : เห็นด้วยอย่างแรงว่านั่งไม่สบายสุดๆ ลงจากเครื่องแล้วปวดหลังมากๆ แฮมเบอร์เกอร์ก็ไม่อร่อย (ลองกัดไปคำนึง) เราเลยกินน้ำส้มไปเรื่อยๆ ...ลงจากเครื่องมาแม่ถามว่า ทำไมกินไปตั้ง 3 แก้ว (ได้ข่าวว่าแม่นั่งหลังไป 2 แถวยังอุตส่าห์นับอีกว่าลูกกินน้ำกี่แก้ว (--'))
~~~~ปล. ต่อไปนี้ถ้าเขียนเสริมอะไรจะเขียนสีนี้นะ ~~~~


=KeawZaaa= : ไฟลท์แย่มากๆ เวลาก็แย่ ขาไปออกตี 3 ขากลับกลับตี1ครึ่ง ที่นั่งก็แย่ ขนาดผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเรา3คนยังนั่งแล้วอึดอัดเลย ไอ้แฮมเบอร์เกอร์ที่ว่านั่น แค่เห็นก็รู้แล้วว่าแหลกไม่ไล่ ยังอุตส่าห์แกะมาชิมอีก (ตะกละจริงๆ 555 hashbrown bergerking อร่อยกว่าเยอะ)แต่เพื่อความประหยัด สีทนได้~


proudly present แฮมเบอร์เกอร์อันแสนจะไม่อร่อย

ไปถึงประมาณ7โมงเช้า-เวลาจีน เพื่อนบอกว่าเวลาที่เมืองจีนเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง และเวลาเท่ากันหมดทั้งประเทศ จากนั้นก้อขึ้นรถบัสคันใหญ่ไปที่โรงแรมในเมืองเฉิงตู ไปสมทบกับลูกทัวร์คนอื่นอีก 17 คนที่มาโดย TG กับ CX อาหารเช้ามื้อแรกที่เมืองจีน ไม่อร่อยเลย น้ำส้มเค้ารสประหลาดมาก เราเลยกินขนมปังกับไข่ดาวรองท้อง..น้ำส้มเป็นน้ำส้มร้อนด้วยแหละ รสชาติเห่ยเฟ่ยมาก ..เหมือนเวลาผสมเยลลี่รสส้มผงๆกะน้ำร้อน ก่อนจะเทลงแม่พิมพ์น่ะ

เมื่อสมาชิกครบก้อออกเดินทางเที่ยวได้ มีลูกทัวร์37คน ไกด์ทั้งหมด4คน หัวหน้าทัวร์คือพี่สุ มีไกด์จีนชื่อ อาเหวิน (เป็นคนจีนที่ใจเย็นมากๆ)ไกด์ไทยอีก2และ คนขับรถ2 คน พวกเราสามคนอยากนั่งด้วยกัน และเนื่องจากสมาชิกใน tour ส่วนใหญ่เป็น ส.ว. (สูงวัย 555) จึงต้องมีการแยก ส.ส. (สาวสาว) ออกมา เราเลยนั่งเบาะหลังสุดกัน (ค้นพบในภายหลังว่าเป็นที่นั่งที่ดีมาก)

รถใหม่ดี ปรับแบะนอน+เลื่อนให้ที่นั่งห่างกันได้ด้วย ข้างหลังมีหน้าต่าง เปิดระบายอากาศ+ถ่ายรูปกันได้จุใจ

เนื่องจากวันที่ไปเมืองจีนฝนตกเลยมีการเปลี่ยน program tour จากตอนแรก เพื่อที่วันไปหวงหลงกับจิ่วจ่ายโกว อากาศจะดีกว่านี้ หลังจากออกจากโรงแรมเราไปไหว้พระกันที่ วัดเจาแจ้ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ของเมือง ก้อไปไหว้พระกัน ขอพรกันใหญ่เลยเพราะพี่สุบอกว่ารับรองว่าสมหวัง (ดูสิว่าแม่นจิงป่าว 555)



วัดนี้เป็นวัดธิเบตของนิกายหินยาน (ของไทยส่วนมากเป็นมหายาน - ถ้าจำไม่ผิดนะแต่ว่าคนละนิกายกะไทยอ่ะ) ผิดแล้วโยมเดียร์ ของไทยน่ะหินยาน ของจีนมหายาน พระจีนกินมังสวิรัต แตะตัวผู้หญิงได้ วัดนี้ค่อนข้างจะมีชื่อเสียง เพราะว่ามีอายุมานานเป็น 1,000 ปีแล้ว แล้วยังเป็นวัดที่ใหญ่มากด้วย วัดพุทธที่เฉิงตูใหญ่วัดเมืองอื่นในจีนน่ะ สร้างมาตั้งกะสมัยไหนก็ไม่รู้ แล้วเค้าก็ว่าขอแล้วจะสมหวัง ...ที่เมืองจีนนี่เค้าจะสร้างวัดเป็นชั้นๆ ...หมายความว่า พอเดินเข้าไปแล้วเข้าประตูนึง ไหว้พระองค์เล็กๆก่อน แล้วก็ทะลุประตูด้านหลัง แล้วเดินอีกซักพักไปอีกประตูนึง แล้วก็ไล่ไปเรื่อยๆ


ทางเดินเข้าวัด


พระธิเบต

ชั้นแรกของวัดนี้รู้สึกจะเป็นเทพเจ้าฟ้าดินธรรมดา แล้วพอไล่ไปเรื่อยๆก็เป็นเจ้าแม่กวนอิมพันกร ...ที่นี่เนี่ย ถ้าสังเกตุจะเห็นว่าที่แต่ละมือจะมีตาด้วย เพราะเค้าว่ากันว่า ต้องมีพันตาสอดส่ายดูแลมนุษย์ แล้วก็มีพันกรเพื่อยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

ชั้นสุดท้ายก็คือพระพุทธเจ้า ที่เชื่อกันว่าองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดล่ะ


ที่ตั้งเจ้าแม่กวนอิมพันกร


ที่ตั้งพระพุทธเจ้า


มีแผ่นป้ายสลักอะไรไม่รู้ข้างหน้า


ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถ

จากนั้นเราก้อไป สวนหมีแพนด้ากัน ลืมบอกไปว่าเมืองเฉิงตู อยู่ในมณฑลเสฉวน ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น ไม่ค่อยมีแดด ตลอดปี สภาพทางภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาเยอะ ทำให้เมืองนี้มีหมีแพนด้าเยอะ เค้าบอกว่าในปีๆนึงเนี่ย ที่นี่จะมีแดดประมาณ 100 กว่าวัน นอกนั้นจะอากาศขมุกขมัวตลอดเลย เราเข้าไปดูหมีแพนด้ากัน น่ารักดี ถ้าอยากอุ้มก้อได้แต่ต้องจ่ายคนละ 400 หยวน ก้อ 2000 บาทอะนะ หมีแพนด้า มันกินไผ่ตลอดเวลา ถ้าไม่กินก้อนอน 555 สวนใหญ่มากเลยนะ สองข้างทางเดินมีแต่ต้นไผ่ตลอดทาง หมอกลงครึ้มๆ อากาศเย็นสบาย น่าเข้าไปนอนเล่นกะแพนด้ามาก แพนด้าเยอะด้วย (เยอะกว่าสวนสัตว์เชียงใหม่ชัวร์)เท่าที่เดินๆกันก็เจอสิบกว่าตัวแล้ว

ทางเดินเป็นแบบนี้อ่ะ น่ามาเดินจู๋จี๊กันเนอะ


เวลาถ่ายรูปหมีแพนด้าต้องอย่าเปิด Flash นะ เพราะอาจจะทำให้มันตาบอดได้ มีอยู๋ทีนึง ใครก็ไม่รู้ลืมปิด แล้วถ่ายรูปมัน มันงงไปเลยอ่ะ แบบว่ากินๆไม้ไผ่อยู่ก็หยุดกิน แล้วก็หันมาจ้องคนดู ซักพักก็เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วกระพริบตาปริบๆ พี่ไกด์บอกว่ามันแสบตา กำลังปรับสายตาอยู่ (ท่าทางมันน่าร๊ากกกก น่ารักอ่ะ) มันแสบตา น่าสงสารจะตาย โดนแฟลชมากๆตาบอดได้นะ

ตอนขากลับเดินผ่านสระนก น่ากลัวมากๆๆๆๆๆ คือตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตอะไรอ่ะ แต่ว่าเห็นนกยุงเดินผ่านเป็นระยะๆไง ...ชอบเดินมานิ่งๆ ช้าๆ แล้วก็ยืนอยู่นิ่งๆ หันไปเห็นแล้วหัวใจจะวาย เสร็จแล้วคราวนี้ก็เหลือบไปเห็นนกบินอยู่ไกลๆ แบบว่าขนาดอยู่ห่างกันไม่รู้กี่ร้อยเมตร ตัวยังเบ้อเร่อ ...นกยักษ์ชัดๆ เท่านั้นไม่พอ ...มองถัดไปทางขวาอีกหน่อยมีต้นไม้สูง นกยักษ์เกาะเต็มต้น OH MY GOD!!!! ดีละที่ไม่เดินไป !!!



ตอนออกมามีคนมารุมขายของกันใหญ่ พวกผลไม้แห้ง ลูกเกดอะไรพวกนี้ สังเกตว่าพวกนี้มีใส่หมวกอิสลามด้วย ไกด์บอกว่าเป็นชาวจีนอิสลามเอาของมาขายจากซินเกียง

จากนั้นไปศาลเจ้าขงเบ้ง (ศาลาสามก๊กต่างหาก) ศาลของขงเบ้งที่สร้างติดกับศาลของเล่าปี่ต่างหาก ที่นี่เจอคนจีนเยอะมาก เพราะเค้าให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องสามก๊ก เราจะเห็นรูปปั้นของคนสำคัญอย่าง ขงเบ้ง เล่าปี่ เตียวหุย กวนอู จะมีภาพเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์


เดินตามไกด์บรรยายตามจุดต่างๆ

ชาวจีนเค้าบอกว่า สามก๊กเป็นประวัติศาสตร์ช่วงที่เข้มข้นที่สุด มีทั้งเรื่องรัก เรื่องรบ แล้วก็กลการศึกที่แยบยล คนจีนทุกคนเลยรู้เรื่องสามก๊กกันเป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีตัวละครเยอะขนาดไหนก็ตาม ... ที่นี่หลักๆเค้าจะแบ่งออกเป็น 2 โซน โซนที่เราเดินเข้าไปตอนแรกจะเหมือนกัยศาลเจ้าทั่วๆไป มีประวิติสลักบนแผ่นไม้ มีรูปเขียนเล่าเรื่องราว แล้วก็มีรูปปั้นของตัวละครหลักๆแต่ละตัวไว้ (แต่ไม่เห็นจะมีรูปปั้นของเตียวเสี้ยนเลย ทั้งๆที่เป็นตัวที่ทำให้ตัวชั่วถูกกำจัดแท้ๆ...คนจีนนี่ไม่ให้ความสำคัญกะผู้หญิงเลยจริงๆ....นอกเรื่องหน่อย ..ไกด์เล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์จีนมี 4 คน คือเตียวเสี้ยน ไซซี หยางกุ้ยเฟย แล้วก็หวังเจาจวิน อ่านรายละเอียดที่นี่ได้เลย !!!)

อีกโซนนึงจะดูเป็นสวนๆหน่อย เหมือนแบบว่าโซนพักผ่อน ไม่แน่ใจว่าอันนั้นคือ สุสานเล่าปี่ รึเปล่า เพราะในโปรแกรมทัวร์เขียนว่ามี แต่ว่าไม่ได้ไปที่ไหนนอกจากที่นี่ จำได้ว่าตอนนั้นอยากเข้าห้องน้ำ แล้วก็เลยถามทางวิ่งออกไประหว่างตอนที่ไกด์อธิบายนั่นแหละ โผล่มาอีกทีก็เปลี่ยนจากศาลเจ้ามาที่นี่กันแล้ว แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจไปถามว่าที่นี่คืออะไร ...^^' ดูรูปไปแทนละกันเนอะ


จากนั้นเราก้อนั่งรถไป เมืองเล่อซาน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเฉิงตูไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 160 กม. เพื่อไปชมหลวงพ่อโตเล่อซาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแกะสลักริมหน้าผาเล่อซาน สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ์ถังเสวียนจง แห่งราชวงศ์ถัง โดยการเจาะสกัดหินบนเขาเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท หลังพิงเขา หันหน้าสู่แม่น้ำหมินเจียง มีความสูง 71 เมตร กว้าง 10 เมตร ใช้เวลาก่อสร้าง 90ปี พวกเราล่องเรือ2ชั้นไปในแม่น้ำ เรือจะจอดให้ถ่ายรูปประมาณ 5 -10 นาที แล้วก้อล่องแม่น้ำไปเรื่อยๆ คุณไกด์บอกว่าฝั่งตรงข้ามกับพระพุทธรูปคือเขาอูโหยว ซึ่งเชื่อมต่อกับเขาหลิงหยุนซันและเขากุยเฉิงซัน ทำให้ดูเหมือนรูปพระนอนขนาดใหญ่ ซึ่งมีความยาว 1300 เมตร (สารภาพเลยว่าดูตั้งนานก้อดูไม่ออกว่าเหมือนรูปพระนอนตรงไหนอ่ะ) เห็นด้วยมากๆ พยายามจินตนาการแล้วแต่ไม่สามารถ


ใหญ่ม๊ากมาก แต่ก่อนเป็นพระพุทธรูปแกะบนหน้าผาใหญ่อันดับสองของโลก แต่ที่ปากีสถาน(รึเปล่าน้า)โดนวางระเบิดหายไปแล้ว ตอนนี้ที่นี่เลยเป็นอันดับหนึ่งแทน

บรรยากาศบนเรือชมวิว (กรุณาสังเกตคนเอาถุงเท้าซานต้ามาครอบหัว 555)

ขอเล่าอีก พอดีเคยดูสารคดีเกี่ยวกับหลวงพ่อโตฯ เค้าบอกว่าตอนนั้นสร้างเอาไว้ให้หลวงพ่อดูแลชาวเมือง คราวนี้มีอยู่ช่วงนึง แถบนี้เกิดน้ำท่วม ชาวบ้านล้มตายไปหลายราย ช่วงนั้นตาของหลวงพ่อโตก็ปิดลง เพราะไม่อยากเห็นความทุกข์ของชาวบ้าน แล้วหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไป ตาก็เปิดขึ้นมาใหม่ (มาคราวนี้เหมือนจะได้ยินว่าแถบนี้นิยมสร้างหลวงพ่อปิดตาด้วย แต่จำไมได้ว่าทำไมล่ะ)

นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปตามทางขึ้นเขาเพื่อไปสักการะวัดหลิงหยุน บนเขาได้ด้วยนะ แต่พวกเราไม่ได้ขึ้นไป เห็นทางเดินขึ้นก็ไม่เสียดายแล้วว่ะ น่าเสียดายที่วันนี้หมอกลงหนามาก ทำให้ถ่ายรูปได้ไม่ชัดเท่าไหร่ พอขึ้นเรือมา พวกเราก้อซื้อมันเผาขึ้นไปกินบนรถ หวานอร่อยดี แล้วก้อนั่งรถต่อไปโรงแรม



ปอบเปิบมันเผา



คืนนี้เราจะพักกันที่เอ๋อเหมยซาน เรามาถึงตีนเขาง๊อไบ๊ แล้ว (เหล่าจอมยุทธ และคอหนังจีน คงรู้จักชื่อนี้กันดี) คาราวะท่านเซียงยี้ (ในมังกรหยกลูกสาวคนเล็กของก้วยเจ๋งเป็นผู้ก่อตั้งสำนักง้อไบ๊น่ะ) หลังจากกินมื้อเย็นอันสุดแสนอลังการและเก็บกระเป๋าเข้าห้อง ก้อไปเดินสำรวจกันเล็กน้อย เดินไปฝนก้อตกปรอยๆ หนาวจัง ร้านที่เปิดส่วนใหญ่เป็นร้านขายของที่ระลึกและร้านโชห่วย พวกเราเดินไปจนถึงประตูเมืองที่เขียนเป็นภาษาจีน เลยอ่านไม่ออก แต่คิดว่าเขียนไว้ว่า ทางขึ้นเขาง๊อไบ๊ นะ จากนั้นก้อกลับห้องเข้านอน ขอบอกว่าโรงแรมหรูหรา ไฮโซ มากๆค่ะ (ก็โรงแรม 5 ดาวของแถบนี้เลยนี่น่าชื่อโรงแรม E-MEI SHAN)



เอารูปมาโชว์หน่อย เดียวจะหาว่าโม้



อ่านตอนต่อไป >>>>>>>>

1 Comments:

แสดงความคิดเห็น

<< Home