= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันพุธ, ตุลาคม 19, 2548

19/10 : ง้อไบ๊ - วัดว่านเหนียน

วันที่สองของการเดินทาง 19.10.05

มาเที่ยวกันต่อ วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว เราอยู่ในเมืองเอ๋อเหมยซ่าน ตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า กินข้าวตอน 7โมง และออกเดินทางตอน 8โมง (ตลอดการเดินทางใช้ concept 6 7 8 ทุกวัน) น่าแปลกใจที่มื้อเช้าไม่อร่อยเหมือนมื้อเย็นเมื่อวานแฮะ กินพอรองท้องแล้วออกเดินทาง

เอ๋อเหมยซาน แปลว่า ภูเขาง้อไบ๊ แต่ว่าเมืองจริงๆไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชื่ออะไรอ่ะ แล้วก็อาหารเช้าเห่ยเฟ่ยมาก แล้วก็ทำใจรับกะอาหารเห่ยเฟ่ยไปตลอดทริป (ว่าแต่ว่าแกกินแค่รองท้องจริงหรอ ?? ชั้นเห็นแกออกจะเจริญอาหาร!!!)

เข้าใจว่า เอ่อเหมย ออกเสียงเป็นแต้จิ๋วว่า ง้อไบ๊ นะ เพราะซานแปลว่าภูเขา ภาษาอังกฤษเค้าเลยเรียกว่า Mount. Emei
รายละเอียดเพิ่มเติม




ภาพประตูเมือง(มั้ง) ถ่ายไว้ตั้งกะเมื่อคืน

วันนี้เราจะเดินทางสู่ยอดเขาง๊อไบ๊ โดยต้องเปลี่ยนเป็นรถขนาด20ที่นั่ง จำนวน 2 คัน เรานั่งกับเดียร์ ส่วนเกี๊ยวซ่านั่งคนเดียว รถคันนี้ส่วนใหญ่มีแต่ ส.ส. เลยคึกคะนองดี ทางขึ้นเขาค่อนข้างคดเคี้ยวที่เดียว ใครที่เมารถคงต้องกินยาเผื่อไว้หน่อย ส่วนเราสบายมาก โชคดีที่เป็นคนไม่เมารถเมาเรือ (เพื่อนแซวว่าแต่เมาเหล้า 555)

ระหว่างทางมีแวะให้เข้าห้องน้ำ1ครั้งบนเขา แต่เราไม่ได้เข้านะ เค้าบอกว่าห้องน้ำที่นี่ไม่มีประตู เราเลยไม่เข้าอ่ะ ขอทำใจก่อนนะ เหอๆ อากาศค่อนข้างเย็น โชคไม่ดีที่มีฝนตกปรอยๆและมีหมอกหนา ทำให้มองวิวข้างนอกไม่ค่อยเห็น ส่วนใหญ่เป็นต้นสน สังเกตเห็นพื้นถนนเค้าทาสีฟ้าด้วย คงให้มองเห็นชัดเวลากลางคืนหรือเปล่า ?? เพราะทางขึ้นเขาไม่มีเสาไฟฟ้าเลย และมีแค่2เลนให้สวนกันได้ เรานั่งรถขึ้นเขานานเหมือนกัน บนรถมี TV ด้วยนะ เค้าเปิด vcd แนะนำเขาง๊อไบ๊เป็นภาษาอังกฤษ

อากาศข้างบนเย็นอยู่แล้ว รถเลยไม่เปิดแอร์ แต่แบบว่าแต่ละคนใส่เสื้อหนาวกันมาอย่างหนา ก็เลยแอบอึดอัดนิดนึง ยิ่งถ้าเมารถนี่เกือบจะอ้วกเอา รินจังกะเกี๊ยวซ่าเปิดหน้าต่างกันคนละด้าน แต่ตอนหลังให้รินปิด เพราะลมมันตีหน้า หน้าชา แล้วก็หลับมาตลอดทาง ไม่ได้สังเกตอะไรเล้ยยยยย

ตื่นตรงจุดที่ให้เข้าห้องน้ำ ห้องน้ำอันนี้ก็อนาถๆ แบบว่าไม่มีประตูอ่ะ (Y_Y) แล้วแบบว่าคนไทยบางคนมารยาทเห่ยมากๆ แบบว่าคนอื่นเข้าอยู่ดีๆ คนหน้าแถวส่วนมากก็ยืนหันหลังบังให้ แล้วก็จะมีอาเจ๊วิ่งมาจากไหนไม่รู้วิ่งมาดูว่า ...อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ...คือเจ๊จะอยากรู้อะไรขนาดนั้นเนี่ย เดี๋ยวเจ๊เข้าเจ๊ก็เห็นละอ่ะนะ ส้วมเมืองจีนเนี่ย...เฮ้อ (ดีนะ ไม่วิ่งมาตอนเรากำลังเข้าอยู่)


เราสิเมาแทบตาย ดีที่รถมีหน้าต่างนะ เลยเปิดหน้าต่างให้ลมเป่าหน้าซะหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเมาอยู่ดี ถึงจุดแวะเข้าห้องน้ำก็รีบวิ่งลงลงมาพักหายใจเฮีอกนึง กลิ่นห้องน้ำอบอวนถึงใจจริงๆ ไม่รู้พวกนั้นมันเข้ากันไปได้ยังไง

ในที่สุดก้อเจอด่านจำหน่ายตั๋ว (จริงๆไม่รู้ผ่านมาแล้วกี่ด่าน เหมือนแวะหลายด่านมากๆ) ที่นี่ไกด์ไปซื้อตั๋วเพื่อเป็น ticket ID ทุกคนต้องลงจากรถเพื่อไปถ่ายรูปแล้ว screen ลงบัตร แปลกดีแฮะ จากนั้นก้อนั่งรถไปจนถึงสถานีเพื่อนั่งกระเช้าขนาดใหญ่ต่อขึ้นสู่ยอดเขา (ถ้าอายุเกิน60 ปี เค้าลดครึ่งราคาด้วย) ที่สถานีคนเข้าแถวยาวเชียวเพื่อขึ้นกระเช้า เป็นกระเช้าที่ใหญ่ขึ้นได้ 40-50คน พอขึ้นไปพี่ไกด์ก้อนัดเวลาให้ถ่ายรูปแล้วกินข้าวเที่ยงบนนั้น ระหว่างที่เดินไปมามีเพื่อนในกรุ๊ปไปซื้อไส้กรอกใส่ข้าวโพด อร่อยดี แต่ตอนหลังมีคนมาแหย่ว่าเป็นเนื้อหมา ตกใจกันใหญ่ ! เราก้อตกใจนะ เพราะกินไปคำนึง แต่พี่ไกด์บอกว่าเป็นเนื้อหมู ทุกคนเลยโล่งใจ 555


อันนี้คือตรงที่เค้าถ่ายรูปลงบัตรกัน

ตรงจุดที่ไปขึ้นกระเช้า มีห้องน้ำให้เข้าอีกรอบ ..คราวนี้เห็นทีจะรอต่อไปไม่ได้ เข้าดีกว่าแฮะ .. แบบว่าห้องน้ำต้องเดินลงไปใต้ดินชั้นนึง แต่อยู่ข้างบนยังได้กลิ่นโชยขึ้นมา สุดยอดมากๆๆๆ แต่จะว่าไปห้องน้ำมันสะอาดนะ คือถ้าไม่มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นเนี่ย ไม่มีปัญหาไรเลย




วิวจากหน้าห้องน้ำ(เรายืนรอข้างหน้าตามระเบียบ)

ตรงทางขึ้นกระเช้ามีร้านขายของที่ระลึก พวกเราไปซื้อขนมที่คล้ายๆชินมัยมากินกัน อร่อยดีเหมือนกัน แล้วก็บางคนซื้อหมวกมาใส่แก้หนาวด้วย แล้วพี่สุชี้ให้ดูไข่ต้มใบชา..ตอนแรกเห็นสีดำๆคิดว่าเป็นพะโล้ แต่จริงๆคือต้มกับน้ำชาแก่ๆ พอไข่จะสุกต้องกระเทาะเปลือกให้แตก รสชาติน้ำชาจะได้ซึมเข้าไป ...ลองกินมาละ รสชาติเข้มข้นกว่าปกติหน่อยนะ ..ตอนแรกกินไม่รู้สึก แต่ตอนหลังพอมากินไข่ต้มปกติก็รู้สึกได้เลยอ่ะ ว่าต้มใบชาอร่อยกว่า


ต่อคิวขึ้นกระเช้า

เราขึ้นไป lot แรกๆ เพราะทัวร์เราขึ้นมาไม่ครบภายในกระเช้าเดียว (มีทัวร์ฝรั่งมาก่อน แล้วพอเราเข้าไปนิดนึงกระเช้าก็เต็ม) พอขึ้นไปนะ ....มองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่หมอกลง หนามากๆๆๆๆ เรามีเวลาหน่อย เลยเดินๆๆเที่ยวเล่นแถวนั้นรออีกกลุ่มขึ้นมา ..คนไทยเยอะอ่ะ ถ้าไม่ใส่เสื้อหนาว คงคิดว่ามาพระธาตุดอยตุง เนอะ จะว่าไปมาเที่ยวแถวนี้นี่เจอแต่คนจีนกะคนไทย คนประเทศอื่นเค้าไม่นิยมหรือไม่รู้จักมั้ง เจอฝรั่งกลุ่มนี้นี่แปลกมากๆ

บนยอดเขาง๊อไบ๊มีวัดจิ่งติ่ง ซึ่งเป็นวัดที่สร้างอยู่บนยอดเขาง๊อไบ๊ หลังคาวัดทาด้วยสีทองเหลือง เลยเรียกกันว่า ยอดเขาสุวรรณ พี่สุพาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมและพระ... (คิดว่าเป็นพระสังขจาย แต่ไม่sure อ่ะ) บนนั้นมีต้นสนเต็มเลยแต่ถ่ายรูปแล้วไม่ชัดเท่าไหร่


~~~มีแต่ต้นสนกะหมอกหนาๆๆ~~~


เหมือนอยู่ภูกระดึงมะ?

มีพระโพธิสัตว์ทรงช้างเป็นปรางค์ช้างสี่ด้านและพระโพธิสัตว์ 4หน้า (ถ้าชื่อผิดขออภัยนะเจ้าค่ะ) สวยดีนะ คล้ายๆพระพรหม ระหว่างทางขึ้นไปสักการะบนเขา จะมีกุญแจและแม่กุญแจคล้องกับโซ่เต็มไปหมดเลย เค้าว่ากันว่าสำหรับคนที่ไม่มีคู่มาคล้องแล้วจะได้คู่ เราไม่ได้เอามาหรอกนะ เลยไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า จริงๆบนนั้นมีขายกุญแจด้วยแต่แพงทีเดียวแหละ น่าเสียดายว่าทางวัดกำลังปรับปรุงเราก้อเลยไม่ได้ขึ้นไปบนวัด ก้อเลยถ่ายรูปวิวแถวนั้นแล้วก้อกินข้าวเที่ยง และนั่งกระเช้าลงมา

หมอกหนาขนาดเดินไปแล้วไม่เห็นอะไร จนเกี๊ยวซ่าน้อยถึงกะรำพึงว่า
"เดินจนจะชนวัดละยังไม่เห็นวัดเลย"
รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมทรงช้างเค้าสร้างไว้กลางแจ้งเลย แบบว่าเป็นพื้นที่ยกสูงขึ้นมาประมาณนึง ต้องเดินขึ้นบันไดไปไหว้ ...เข้าใจว่าถ้าฟ้าเปิดเนี่ย มองออกไปรอบๆจะเห็นเป็นทิวทัศน์สวยๆรอบๆ แบบว่ามองไปทางไหนก็โล่งไปหมดเห็นแต่เมฆกะยอดไม้อ่ะนะ ...แต่เผอิญว่าฟ้าปิด เลยไม่เห็นอะไรเลย

ด้านล่างมีร้านขายของที่ระลึก ..ขากลับเรา 3 คนได้หนังสือเกี่ยวกะที่นี่มาคนละเล่ม 35 หยวน (ต่อยังไงก็ไม่ยอมลด) เสร็จแล้วก็ไปวัดอีกด้านนึง พอลงจากที่ตั้งเจ้าแม่กวนอิมมาแล้วเดินตรงไปหน่อยจะเจอบันไดขึ้นไปบนตัววัด ...ค่อนข้างสูงเหมือนกันนะ ตามทางจะมีราวบันไดที่ตอนนี้เต็มไปด้วยกุญแจคล้องเอาไว้อยู่ อันนี้เนี่ย เราได้ยินว่าอธิษฐานอะไรไปคล้องแล้วก็จะสมหวังนะ แต่มันมีกุญแจรูปหัวใจขายอยู่แถวนั้นด้วย ..ก็เป็นเคล็ดว่าให้รักกันตลอดไป ..เอ...เราก็ไปมาด้วยกันนะ ทำไมได้ยินไม่เหมือนกันหว่า ??

คนจีนนิยมเอาแม่กุญแจมาคล้องกันตามที่ท่องเที่ยว?(เห็นบนกำแพงเมืองจีนก็มีน่ะ) แบบว่าพวกคู่รักมาเที่ยวด้วยกันก็คล้องไว้ ให้รักกันยืนยาวตลอดไป กุญแจรูปหัวใจน่ารักอ่ะ ทีแรกว่าจะซื้อกลับมาใช้ที่บ้าน แต่มันแพงง่ะ

คนขึ้นไปบนวัดเยอะมากๆๆๆ แบบว่าหันหน้าไหว้พระอยู่ พอหันหลังกลับมาเจอแต่หัวคน ...จริงๆทางขวามือของวัดมีบันไดขึ้นไป ปกติจะสามารถขึ้นไปบนจุดชมวิวข้างบนได้ แต่ช่วงนี้เค้าซ่อมแซมอยู่ เลยไม่ได้ขึ้น ..ถ่ายรูปเอาบรรยากาศแถวนั้นแทนละกันเนาะ !!!!
(ปล. คนจีนสูบบุหรี่กันจัดมากๆๆๆ แบบว่าตอนอยู่บนวัดมีควันเต็มไปหมด แยกไม่ออกว่าเป็นหมอก ควันธูป หรือควันบุหรี่ -- ต้องดมเอาถึงรู้อ่ะ)


อันนี้ถ่ายที่ป้ายหน้าวัด

พอเสร็จจากไหว้พระข้างบนก็ยังเหลือเวลา เราเลยแวบออกนอกเส้นทางนิดนึง ..ตรงที่เราไปมันมีชื่อเรียกนะ แต่เรียกว่าอะไรไม่รู้แฮะ จำชื่อไม่ได้ ... ตรงนี้สวย บรรยากาศจีนมากๆ ดูแล้วนึกถึงบรรยากาศหล่ายๆตอนในหนังจีน ....แบบว่าทางขวามือเป็นต้นไม่ขึ้นหนา แต่ทางซ้ายจะเป็นผาเล็กๆ (ไม่ถึงกะผาหรอก แต่มันเป็นหุบลงไปอ่ะ โล่งๆๆ) แล้วข้างหน้าก็มีศาลาเล็กๆตั้งอยู่ ข้างหลังศาลาเป็นดอกไม้สีขาว สีแดงดอกเล็กๆ น่ารักดี


เดียร์น้อยปล่อยอารมณ์(คิดถึงใคร?)
แกบอกให้ชั้นทำท่านี้ไม่ใช่หรอ ???

เดินจากตรงนี้ลึกเข้าไปอีกหน่อย จะเป็นแถบขายของที่ระลึก แต่ว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามาอ่ะ หรือเพราะแถวนี้ก่อสร้างอยู่ก็ไม่รู้ มีกั้นพื้นที่แล้วก็คนงานเดินขนของเต็มไปหมด.. เราไปยืนถ้านรูปเค้า เค้าพูดอะไรไม่รู้ ช้งเช้งไปหมด (คาดว่าคงแอบด่าว่าทำงานเหนื่อยจะตาย จะมาถ่ายรูปทำบ้าอะไร !!!)


ข้างบนรู้สึกจะเป็นศาลาพระหมื่นรูป (ว่านฝอซักอย่าง)แต่ปิดซ่อมแซมเลยอดขึ้นเลย

หมดเวลา .....กลับไปลงกระเช้า เตรียมเที่ยวต่อเลย
(ลงมาด้านล่าง รินยังซื้อ Postcard ไม่สะใจ เลยไปซื้อต่อที่ร้านขายไข่ต้มใบชาอีกรอบ)

จากนั้นก้อขึ้นรถไปบนเขาอีกด้าน คราวนี้เราไปขึ้นกระเช้าเล็กนั่งได้6คน ไปยังวัดว่านเหนียน หรือวัดหมื่นปี สงสัยไหมทำไมถึงชื่อวัดหมื่นปี มีคนสงสัยด้วยนะ555 คิดว่าวัดสร้างมาหมื่นปีหรือยังไง 555 จริงๆเป็นวัดที่ฮ่องเต้องค์นึงสร้างขึ้นเพราะอยากให้มารดามีอายุเป็นหมื่นๆปี

ตอนไปที่วัดว่านเหนียนเนี่ย ฝนตกหนักกว่าเดิม ประมาณว่าไม่กางร่มไม่ได้ แล้วก็ต้องเดินอีกไกลพอควร แต่คนจีนก็ยังมากันเยอะนะ (แอบตกใจนิดนึงว่าอากาศอย่างนี้จริงๆไม่ค่อยน่าจะคนเยอะ) ตรงนี้ก็ไม่มีไร เดินๆๆ ไปเรื่อยๆ


แวะซื้อเสื้อฝนกันใหญ่ เป็นพลาสติกบางๆสีเหลืองๆ ราคา 2 หยวน


ประตูเข้าวัด

วัดนี้มีของสำคัญอยู่3อย่าง คือ เจ้าแม่กวนอิมทรงช้าง (Samantabhadra on an elephant) สวยมากเลย เค้าเชื่อกันว่าไปลูบก้นช้างแล้วจะโชคดี ส่วนของอีกสองอย่างตอนนี้ไม่ได้เก็บที่นี่แล้ว ทางการเอาไปเก็บที่พิพิธภัณฑ์คือคัมภีร์ใบลาน (Sutra written on pattra leaves) และตราประทับของฮ่องเต้ (Bronze seal) แล้วในวัดก้อมีพระพุทธรูปให้สักการะอีก นอกจากนี้ยังมีรูปปางทั้งหมดของเจ้าแม่กวนอิม รู้สึกจะมี 72 ปาง สวยดีนะ จากนั้นก้อนั่งกระเช้ากลับและขึ้นรถลงจากเขาไปยังโรงแรม แล้วนั่งรถต่อไปเมืองเม่าเสี้ยน

ตึกแรก เป็นตึกสีเหลือง มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมทรงช้างองค์ที่รินบอก (มีที่นี่แค่ที่เดียว) รู้สึกภาษาทางการจะเรียกว่าพระโพธิ์สัตย์ผู่เสียนทรงช้าง รอบๆมีรูปปั้นพระพุทธเจ้า 840 องค์ เป็นตัวแทนคำสอน 84,000 พระธรรมขันธ์


เจ้าแม่กวนอิม กับ ขาช้างโดนลูบจนลอกแล้ว


==========ไปดูประวัติกันนิดนึงนะ (อันนี้ก๊อปมา)==========
วัดว่านเหนียน (วัดหมื่นปี) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้น เดิมชื่อ วัดไป๋สุ่ย ต่อมาฮ่องเต้ว่านลี่แห่งราชวงศ์ถัง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดว่านเหนียน เนื่องในวันเกิดปีที่ 70 ของพระมารดา เพื่อเป็นนิมิตหมายให้พระมารดามีอายุยืนยาวหมื่นปี ภายในมีพระโพธิ์สัตย์ผู่เสียนทรงช้าง ที่ทำด้วยทองเหลืองหนัก 62 ตัน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่ำ 3 สิ่งคือ พระทันธาตุ,พระคัมภีร์ใบลาน, ตราพระราชสัญกรของฮ่องเต้ หนัก 4 กิโลกรัม
ปล. 2 อันหลังตอนนี้ไปอยู่พพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้ววว
============================================

ถัดจากตึกนี้ไป อีกตึกนึงมีรูปปั้นพระพุทธเจ้า 3 องค์ จริงๆตามศาสนาเค้าเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าทั้งหมดมี 5 องค์ ทุกๆ 5,000 ปีจะเปลี่ยนที แต่ว่าชาวจีนนับถือแค่ 3 องค์เท่านั้น (ไม่รูว่าองค์ไหนบ้าง แน่ๆว่ามีองค์ปัจจุบันกับองค์ถัดไป) รอบๆวิหารอันนี้มีรูปของเจ้าแม่กวนอิมปางต่างๆ 72 ปาง คือชาวจีนเค้าบอกว่าเวลาเจ้าแม่เสด็จมาโปรดสัตว์จะมาในหลายรูปแบบ บางทีก็มาเป็นผู้หญิง บางทีก็ผู้ชาย บางทีก็คนแก่ แล้วแต่ว่ามาในรูปแบบไหนแล้วจะสามารถเข้าถึงคนได้มากที่สุด


รูปเจ้าแม่กวนอิมในปางต่างๆ

บางตำนานก็บอกว่าเดิมทีเจ้าแม่กวนอิมเดิมทีเป็นผู้ชาย แต่เวลาลงมาโปรดมนุษย์ผู้หญิงแล้วไม่ได้รับความไว้วางใจ เลยเปลี่ยนรูปมาเป็นผู้หญิงแทนเพื่อจะสามารถโปรดสัตว์ได้มากขึ้น แล้วหลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรซักอย่าง ทำให้ไม่สามารถกลับไปเป็นผู้ชายได้ แล้วก็อยู่ในรูปของผู้หญิงมาตลอด

ถัดจากอันนี้ไปก็เป็นวิหารสุดท้ายละ ที่นี่เป็นที่ตั้งของพระศรีอารยเมตรัย หรือก็คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปตามความเชื่อของชาวพุทธนั่นเอง


ทางเดินขึ้นวัด (แต่อันนี้ถ่ายตอนขาลง)


กระเช้าขาลง


ไอ้กลมๆสองอันนั่นแหละ กระเช้าที่เราขึ้นกันมา

หมดละ ...เดินทางกลับ ..ขากลับพยายามจะข่มตาหลับ แต่คุณเกี๊ยวซ่ากลัวเมารถเลยเปิดหน้าต่างไว้ ..ลมไม่ตีหน้ามันแต่มาตีหน้าเรา เราเลยหลับไม่ไดเลย หนาวจะตาย หน้าชาาาาา

ขยายความนิดนึงเรื่องเมารถ วันที่ขึ้นง้อไบ๊นี่ไม่ทันได้กินยาแก้เมาล่วงหน้าครึ่งชั่วโมง ทีนี้ขึ้นรถปุ๊บก็เริ่มไต่ระดับขึ้นเขาเลย(ก็นอนอยู่ตีนเขาน่ะ)ก็เริ่มชักอาการไม่ค่อยจะดี แวะเข้าห้องน้ำทีเราก็ต้องแวะลงไปหายใจ ขึ้นรถทีนี่อึดอัดมากๆ เปิดหน้าต่างแรกๆก็ลมเข้าหน้าเราดี แต่ไม่รุ้ทำไมนั่งไปนั่งมากลายเป็นไปเป่าหน้าเดียร์แทน เราก็หายใจพะงาบๆ เดียร์น้อยก็นอนหน้าชาไม่มีบ่น 5555 ตอนหลังรู้เลยแลกที่กัน ทีนี้กลายเป็นลมเป่าหน้าเราดี แต่เดียร์น้อยเมารถไปด้วย

เมากันจนจะตายอยู่บนรถแล้ว เลยลองใช้วิธีที่น้าวงศ์บอกตอนเช้า (เมื่อเช้ารู้สึกว่ามันขำเกิน เลยไม่ทำ แต่นี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ลองดูก็ได้วะ) คือ เอาพลาสเตอร์ยาแปะปิดรูสะดือ! อย่าขำ! (เอามาเล่าให้ใครฟังนี่ขำกันท้องแข็งทุกคน) มันช่วยได้จริงๆนะ หลังจากนั้นมาก็เลยแปะมันทุกวันเลย คนเมารถแหลกลาญอย่างเรานั่งรถขึ้นจิ่วไจ่โกวได้เป็นวันๆโดยไม่เมาเนี่ย อะเมซิ่งจริงๆ

ขอขอบคุณคุณแม่ของรินจัง ที่ยัดเยียดพลาสเตอร์ยาทั้งกล่องใส่กระเป๋ารินมา พวกเราเลยสามารถสู้ทนความวิบากของขุนเขาได้อย่างสวัสดิภาพ


คืนนี้พักที่โรงแรม LESHAN JIA SHOU HOTEL ที่เมืองเม่าเสี้ยนนะคะ ^^



โปรดติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ วันที่3 เราจะไปเที่ยวเขื่อนโบราณกัน



<<<<<< อ่านตอนที่แล้ว อ่านตอนต่อไป >>>>>>