= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 20, 2548

20/10: เขื่อนตูเจียงเอี้ยน

เมื่อคืนอุตส่าห์ดีใจได้มานอนในเมือง หวังว่าจะได้ออกมาช้อปปิ้งกันตอนหัวค่ำ แต่กลายเป็นว่า แถวโรงแรมไม่มีอะไรเลย มีซุปเปอร์มาเก็ตชาวบ้านๆอันนึง พวกเราไม่มีที่ไปที่อื่นเลยเข้าไปแห่ซื้อขนมกันโขยงใหญ่ ร้านคึกคักไปเลย

ก่อนมาพี่ฝากซื้อเยลลี่ตรา QQ เราก็เลยไปซื้อ แล้วก็เหมามาเกือบหมด ..สร้างกระแสอย่างดี สมาชิกกรุ๊ปทัวร์ที่มาด้วยกันพากันซื้อตามยกใหญ่ แต่จะว่าไปมันก็อร่อยดีนะ (^^)

ตื่นมาตอนเช้า เพิ่งเห็นว่าโรงแรมที่นอนอยุ่ริมแม่น้ำเลย ห้องหนุ่มๆที่อยุ่ตรงข้ามหันหน้าเข้าแม่น้ำวิวดีเชียว (ห้องเราเห็นแต่หลังตึก - -') ห้องเราก็เหมือนกัน ...เศร้าใจ Y_Y ข้าวเช้าวันนี้ก็เหมือนๆเดิม ไม่มีอะไรน่ากินนัก ดีที่ทางทัวร์เริ่มเอาหมูหยองมาแจกให้กินกัน วันนี้เราเลยได้ขนมปังหมูหยอง 2ก้อนประทังชีวิต(ก็เอาขนมปังของโรงแรม กะหมูหยองที่เค้าแจกนั่นแหละใส่เข้าไปเป็นไส้) วันนี้หลักๆคือนั่งรถ ไม่ต้องใช้พลังงานมากเลยไม่ต้องกินตุนเยอะนัก (แต่เพื่อนๆเรานี่สิ กินเอาๆ)

กินข้าวเสร็จพวกหนุ่มๆสาวๆก็วิ่งไปถ่ายรูปริมแม่น้ำกัน มีอาม่าอากงมาออกกำลังกาย สาวๆจีนเล่นแบทกันที่สวนสาธารณะเล็กๆข้างโรงแรม คุณพี่ที่ไปด้วยเห็นสาวๆแล้วอดไม่ได้ วิ่งไปขอเค้าเล่นด้วย หัวเราะคิกคักกันใหญ่ แอบไปเห็นรูปในกล้องคุณพี่ที่ว่า มีไปโอบไหล่สาวๆนักแบทด้วยนะ ..เหอๆๆๆ


ออกจากเล่อซานกลับเข้าเฉิงตู แวะร้านไข่มุกยืนแข้งยืดขา เข้าห้องน้ำกัน มีสาธิตแกะเปลือกหอยมุกเลี้ยงให้ดู หอยมุกธรรมชาติจะมีแค่ไม่กี่เม็ดต่อหนื่งตัว แต่ถ้ามุกเลี้ยงนี่ พอมุกอายุได้ที่เค้าก็เอาอะไรซักอย่างเป็นเม็ดๆหยอดลงไป ตัวหอยก็จะสร้างสารมาเคลือบเม็ดๆพวกนั้นหนาขึ้น หนาขึ้น จนกลายเป็นเม็ดไข่มุกอย่างที่เราเห็นๆกันนี่

เค้าบอกว่าเวลาซื้อมุก ต้องไม่เอาแบบกลมๆล่ะ (เพิ่งรู้) ต้องเอาแบบรีๆนึดนึงถึงจะดี เหมือนเค้าจะบอกเหตุผลว่าทำไม แต่จำไม่ได้แฮะ

นอกจากไข่มุกที่เป็นเครื่องประดับ (ที่มีแต่แบบอลังๆ) แล้วก็มีครีมไข่มุกสารพัดแบบ แล้วก็มีพนักงานมาลากพาไปให้ลองทาครีมไข่มุกผสมทองคำ เราก็ลองเอามาทาดูก็นุ่มดีนะ ราคาซักประมาณกระปุกละเกือบ 500 แต่มีคนในกรุ๊ปหลายคนเคยใช้แล้วเค้าว่าดี ก็เลยโกยเงินจากกรุ๊ปเราไปได้บ้างอ่ะนะ



กรุ๊ปนี้ไม่ค่อยมีใครซื้อไรมากนัก แค่เดินๆดูกัน แล้วก็ซื้อครีมไข่มุกกันนิดหน่อย


นอกจากเอามุกมาทำเครื่องประดับกันครีมแล้ว ก็ยังมีเอามาทำเป็นตัวตุ๊กตาๆต่างๆ น่ารักดีเหมือนกัน


ออกมาจากร้านไข่มุก แอบเหลือบไปเห็นอาแปะผัดเกาลัดอยู่หลังรถทัวร์ คนไทยกรุ๊ปเรายืนรุมซื้อกันใหญ่จนคนขายคั่วไม่ทัน (ขายดีกว่าไข่มุกเยอะ) 1 ชั่ง 8 หยวน (ตรึ่งโล 40 บาท) ถูกกว่าเมืองไทยเท่าตัว เราไปแย่งซื้อมาได้ล๊อตสุดท้าย เหลือเกือบๆ 1 ชั่ง เค้าเลยคิด 7 หยวน อร่อยดี เม็ดเหลือง หอมเชียว กินหมดอย่างรวดเร็ว ยังไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่

พอคุณเกี๊ยวซ่าเอาเกาลัดขึ้นรถก็แกะกินอย่างเมามันส์ วิทยายุทธในการแกะเปลือกเกาลัดเป็นเลิศ ปล่อยให้เพื่อนๆ 2 คนนั่งเซ่อเพราะว่าแกะไม่ทัน (จริงๆคือบีบไม่แตกอ่ะ แต่เกี๊ยวมันบีบไงไม่รู้ ดูบีบง๊าย ง่าย)..สุดท้ายทนความอนาถไม่ไหว เลยต้องบีบเปลือกให้เพื่อนๆไปแกะต่อเอา แล้วบอกว่า
"แกะกันอย่างงี้กินไม่ทันบ้านชั้นหรอก"
>>> แล้วใครจะไปนั่งกินเกาลัดกะพ่อกะแม่แล้วก็เฮียแกวะ ??


นั่งรถไปยังที่หมายถัดไป ซึ่งก็คือ เขื่อนตูเจียงเอี้ยน หนึ่งในมรดกโลกของมณฑลเสฉวน

เขื่อนชลประทานตูเจียงเอี้ยน เป็นโครงการชลประทานโบราณบนลำน้ำหมินเจียง (เขตต้นน้ำของแม่น้ำแยงซีเกียง) ใกล้ที่ราบลุ่มฝั่งตะวันตกของเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน ปัจจุบันมีสถานภาพเป็นเมืองตูเจียงเอี้ยน ก่อนที่เขื่อนชลประทานแห่งนี้จะสร้างขึ้น ความเชี่ยวกรากของแม่น้ำหมินเจียงได้ก่อให้เกิดอุทกภัยอยู่บ่อยครั้ง จวบจนเมื่อปีค.ศ. 256 ข้าหลวงเมืองสูนาม หลี่ปิงและบุตรชาย ได้นำประชาชนในท้องถิ่นก่อสร้างเขื่อนชลประทานแห่งนี้ขึ้น จากนั้นมา พื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่เมืองเฉิงตูก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองแมนแดนสวรรค์’ และได้กลายเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของจีน ตลอดเวลากว่า 2,200 ปี ที่โครงการชลประทานแห่งนี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาพื้นที่ชลประทานแห่งนี้เพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัย ชลประทาน ขนส่ง ผลิตกระแสไฟฟ้า เพาะพันธุ์สัตว์น้ำ การท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมพื้นเมือง รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำใช้ในครัวเรือนของชาวเมือง เป็นต้น

ตูเจียงเอี้ยนไม่เพียงเป็นโครงการชลประทานโบราณขนาดใหญ่ ที่ใช้เทคนิคการทดน้ำโดยไม่สร้างเขื่อนกักน้ำเพียงแห่งเดียวของโลก ที่ยังคงมีการใช้งานอยู่จวบจนปัจจุบัน แต่ยังเป็นแหล่งความรู้ทางการชลประทานชั้นนำของโลก ที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมทางการเมือง ศาสนาและสถาปัตยกรรมที่รุ่งเรืองในอดีต
ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์ อ่านทั้งหมด



รถทัวร์มาปล่อยพวกเราลงกันบนเขา ตึกที่เห็นในรูปนี่เป็นชั้นบนสุด เราค่อยๆเดินกันลงไปชั้นล่างของตึกไม้นี่ ลัดเลาะไปตามเนินเขาเรื่อยๆ จนถึงแม่น้ำด้านล่าง แวะถ่ายรูป+ฟังไกด์บรรยายประวัติไปตามทางลง ทิวเขาข้างหน้าซ้อนกันเป็นชั้นๆสลับกับสายหมอก เหมือนในพวกภาพวาดจีนเลยเนอะว่ามั๊ย




จุดแรกที่เดินเข้าไปถึงก็เป็นจุดชมวิวเลย มองออกไปดูอลังการมาก แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาอย่างที่เห็นในรูปแหละ ..จริงๆไกด์ก็บรรยายไปเรื่อยๆนะ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กดี อยู่ในระเบียบเหลือเกิน เลยลั้ลลาวิ่งถ่ายรูป ไม่ได้ฟังเล้ยยยย ว่าไกด์พูดอะไร

พอชมวิวกันหนำใจ ไกด์ก็พาเดินลงบันไดไปต่อ ..ตรงนี้ก็จะมีรูปภาพเขียนให้ดูว่าเมื่อก่อนเค้าสร้างกันยังไง กะแท่นศิลาอะไรซักอย่าง แล้วพอพ้นจากตัวตึกไปก็เริ่มเข้าสู่ยุทธการเดินลงเขาแล้ว (ป้าคนนึงบอกไกด์ว่าเดินไม่ไหว แต่ไกด์บอกว่า รถทัวร์ไปรอที่จุดหมายปลายทางแล้ว ยังไงก็ต้องเดิน !!!!... สู้ๆนะป้านะ)



ภาพเขื่อนสมัยโบราณ ทำจากไม้ผูกเชือกถ่วงไว้กับหิน


อันนี้ก็เป็นทางเดินลัดเลาะลงไปเรื่อยๆ

ระหว่างทางก็จะมีจุดสนใจต่างๆ ประมาณว่า มีศาลเจ้าที่ชาวบ้านสร้างไว้บูชาหลี่ปิงกะลูกชายที่สร้างเขื่อนนี้ขึ้นมา แล้วก็มีซุ้มอะไรต่อมิอะไรไม่รู้เต็มไปหมด อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กะความสนใจส่วนบุคคลว่าจะแวะชมจุดไหนเป็นพิเศษรึเปลา ?? อย่างคุณน้องเกี๊ยวเนี่ย ก็จะสนใจตะไคร่น้ำเป็นพิเศษ เจอตะไคร่น้ำที่ไหนต้องแวะถ่ายรูปที่นั่น ...จริงป่ะจ๊ะ ??? อิอิ



ศาลเจ้าที่บูชาหลี่ปิง แต่แบบว่าต้องถ่ายออกมาข้างนอก เพราะมีอาแปะคุมอยู่ ไม่ให้ถ่ายรูปเข้าไปข้างใน


ประตูนี้เป็นมุมยอดนิยมในการถ่ายรูป แต่บันไดชัน+ลื่นมาก ต้องค่อยๆเดินลงกันอย่างระมัดระวัง



จำลองวัสดุที่ใช้ทำเขื่อนสมัยก่อน
ลงมาถึงด้านล่างจะเจอสะพานไม้ยาว พาดข้ามแม่น้ำไปฝากโน้นได้
สะพานไม้โยกเยกหนุกดี ท่าทางแข็งแรง วิ่งถ่ายรูปกันได้อย่างไร้กังวล แต่หารู้ไม่ว่าคนอื่นเดินกันไปหมดแล้ว ...แบบว่าเราก็ถ่ายรูปกันเพลิ๊น เพลิน เห็นพี่พียืนอยู่ปากทาง นึกว่าคนอื่นเดินข้ามสะพานไปแล้วพี่พีรอต้อนคนกลับ ไปๆมาๆไม่เห็นวี่แววคนที่ฝั่งโน้น เลยเดินไปถามว่าเค้าจะกลับมากันเมื่อไหร่ (เผื่อว่าเราจะข้ามไปมั่ง) ก็ได้รับคำตอบมาว่า
"เค้ากลับไปกันหมดแล้วครับ"
"อ้าว ตกลงว่าเหลือกลุ่มเรากลุ่มสุดท้ายหรอคะ"
"ครับ"

.....แป่ว.... ทำไมไม่บอกเล่า ก็เห็นนิ่งๆนี่น่า






พอเดินออกมา เห็นกรุ๊ปเรากำลัง shopping กันอยู่ค่อยโล่งใจ เราไม่ทำเค้าสาย แอบแวบไปเข้าห้องน้ำแวบนึง ...จริงๆก็ไม่อยากอ่ะนะ แต่คาดว่าระหว่างทางไปจิ่วไจ้โกวคาดว่าจะเห่ยกว่านี้ เลยทำใจซะ... สภาพก็เห่ยพอควร แต่ก็นะ ... ทำไงได้เนอะ !!!

ออกจากเขื่อนก็มุ่งหน้าเข้าจิ่วไจ่โกว สองข้างทางอลังการมาก รถขับลัดเลาะเข้าไปตามทิวเขา ถนนมีแค่ 2 เลนพอสวนกันได้ แบบว่า ถ้าเผลอขับหลุดจากเลนไปนี่ ตกเขาตายชัวร์ๆ อยากถ่ายรูประหว่างทางม๊ากมาก แต่โดนลังขนมแย่งที่นั่งริมหน้าต่าง จะปีนข้ามไปถ่ายรูปก็กลัวจะเมารถ เลยได้แต่เก็บภาพไว้ในความทรงจำ (ทำไมเขียนไปเขียนมาแล้วสำบัดสำนวนขึ้นเรื่อยๆ 555)
>>> ลาวขึ้นอ่ะเด่ะ ไม่รู้ตัวหรอ ?? 5555
ถนนมีแค่สองเลนแถมรถวิ่งกันเยอะ วิ่งไม่ได้เลยนึงก็รถติดแล้ว ทั้งหินถล่ม ปรับปรุงถนน จอดรถขนดิน รถชน จอดแวะฉี่ข้างทาง สารพัดสารเพ

ตอนนี้เดียร์น้อยหลับค่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ..แต่จำได้ว่าบนรถเปิด Forrest gump ให้ดู ตื่นมาได้ดูเป็นระยะๆ ..จบไปเรื่องนึงแล้วรถยังติดแหง่กอยู่เลย เศร้ามากๆๆๆๆ กว่าจะได้กินข้าว ....กินหนมหมดไปก่อนหลายถุง เหอๆๆๆ


คืนนี้นอนบนเขา อากาศเริ่มหนาว เข้าห้องที่โรงแรมได้ปุ๊บก็รีบเปิดฮีทเตอร์อุ่นสบาย


<<<<< อ่านตอนที่แล้ว อ่านตอนต่อไป>>>>>