= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันอาทิตย์, มิถุนายน 05, 2548

ปารีส 2: Latin quarter - Montmartre – Champs Elysees

ถึงปารีส7โมงครึ่ง (ต่อจากนี้ใช้เวลาปารีสละ) เครื่องลงจอดก็เอาเป้จากที่เก็บของบนหัวลงมา แต่..ไอ้ตุ๊กตา ghibli ตัวดำๆหายไป(ซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์เลยนะ) ก้มๆเงยๆมองหา ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ทยอยเตรียมตัวลงจากเครื่องบิน คุณผู้หญิงที่นั่งข้างๆเรามาตลอด 12 ชม.ที่ไม่ได้คุยกันเลย (พี่แกหลับเป็นตายมาก เราพลิกแล้วพลิกอีก ตื่นมาทีไรเธอยังอยุ่ท่าเดิม) เธอเห็นเราหาอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอก็เลยถามว่าอะไรหายหรอ เดียวช่วยหา ก็ก้มๆกันงกๆๆอยุ่ 2 สาว สุดท้ายก็หาไม่เจอ ขอบคุณเค้าไปเรียบร้อย (จะเจอได้ไงเล่า กลับมาบ้านมันวางอยู่บนโต๊ะ แม่บอกทำตกอยุ่ที่หลังรถแน่ะ ซวยมัน อดไปเที่ยวฝรั่งเศสเลย สม)

ลงจากเครื่องด้วยความมุ่งมั่น ขึ้นเครื่องบินคนเดียวครั้งแรกก็งี้ พยายามวางฟอร์มนิ่งๆ ไม่ลุกลี้ลุกลน เครื่องบินเลทไปหน่อย โซเลียคงมารอแล้ว พอคว้ากระเป๋าจากสายพานได้ก็จ้ำอ้าว จ้ำๆๆๆ เอ.. แล้วต้องเดินไปทางไหนวะเนี่ย แบบว่าเช้าๆไม่ค่อยมีคน

หาทางออกมาได้ก็เจอโซเลีย ไม่ได้เจอกันมา 10 ปีแล้วมั้งเนี่ย (แต่ก็ยังไปกวนเค้าพาเที่ยวได้ เพื่อเที่ยว ทำได้ทุกอย่าง! 555)อุตส่าห์ส่งรูปมาให้ดูก่อนเผื่อจำกันไม่ได้ โซเลียก็แนะนำ หนุ่ม(ไม่น้อย)ชาวฝรั่งเศส "นี่แวงซอง เพื่อนเรา" ชื่อ แวงซอง ของพี่แกไม่ได้จำยากอะไร แต่มันไม่คุ้นนี่หว่า กว่าจะจำชื่อได้ก็ตอนเกือบกลับแล้วนะเนี่ย สรุปแล้วทริปนี้เราเลยมีพาเที่ยว 3 คน โซเลีย เฮียแวง แล้วก็มะปราง

จากสนามบิน นั่ง shuttle bus ไปถึงสถานี RER (รถไฟน่ะ อ่านว่า แอ-เออ-แอ) นั่งต่อเดียวไปลงที่สถานี luxembourg เลย ระหว่างทางก็มีคนขึ้นมาบนรถเล่นกีตาร์ขอตังด้วย พวกนี้ก็ดีเนอะ แบบทำให้บรรยากาศโรแมนติกดี ตามรถไฟ ตามร้านอาหารข้างทาง แต่เผอิญเราไม่ได้โรแมนติกด้วย เลยทำหน้านิ่งๆ ไม่มองมาก เดียวเค้าเดินมาขอตัง

ถึงสถานี luxembourg อยู่ข้าง jardin du luxembourg ( jardin แปลว่าสวนนะ รู้สึก)เลย แล้วก็เดินลากกระเป๋าแกรกๆๆ ผ่านไอ้ถนนหินๆสไตล์ยุโรปอันแสนจะโรแมนติก ถ้าล้อกระเป๋าห่วยๆนี่คงเจ๊งแน่ ดีที่เอาไปใบเล็ก+เป้ เลยแบกได้ด้วยความทะมัดทะแมง แต่ก็ต้องคอยหลบน้ำ(ที่นี่เค้าชอบเปิดน้ำล้างถนนเช้าๆกัน) หลบขี้หมา (หนึ่งในของขึ้นชื่อของเมืองปารีส)

ที่พักเราอยู่ย่าน latin quarter เป็นที่ตั้งของมหาลัย la sorbonne มหาลัยอันดับ1ของฝรั่งเศส (ไม่เห็นจะเคยรู้จักเลยเรา) แต่ก่อนแถวนี้เลยเป็นที่รวมของนักศึกษามากมาย ซึ่งจะใช้ภาษาละตินพูดคุยกัน ย่านนี้เลยได้ชื่อว่า latin quarter แถวนี้มีร้านอาหารเยอะแยะเลย ราคาไม่แพงนัก ที่พักราคาถูกของเราก็ขนาบไปร้านอาหารพวกนี้แหละ





ไปถึง ยังเช้าไปที่จะ check-in เค้าเลยให้เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ห้องเก็บของได้ แต่..ห้องมันไม่ได้มีล๊อคอะไรเลย เป้เราก็หนักใช่ย่อย มีทั้งของสำคัญ+ของบ้าๆบอ จะทิ้งไว้ก็ไม่ได้ เป้เล็กๆที่เตรียมมาก็อยู่ในกระเป๋าใหญ่ ถ้าจะเอาคงต้องเสียเวลารื้อ+จัดของซักพัก แต่โซเลีย+คุณแวงคอยอยู่เลยเกรงใจ แบกก็แบกวะ

เริ่มออกเที่ยวทันใด ก่อนอื่นก็เดินไปสวนตะกี้เลย สวนมันโล่งๆไงไม่รู้ แบบว่าเป็นระเบียบจัด แล้วไม่รู้ทำไมต้องมีทรายเยอะแยะไม่รู้ แปลกๆ ไม่ประทับใจเท่าไหร่




ออกจากสวนมาก็เดินวนๆ วันที่ไปนี่เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือน พิพิธภัณฑ์หลายที่เปิดให้เข้าฟรี รวมทั้งลูฟด้วย แต่คนล้นหลามแน่ๆ เลยหาพวกพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ได้เป็นที่นิยมมากเข้าดีกว่า แถวนั้นก็มี พิพิธภัณฑ์ยุคกลาง Musee National du Moyen Age ใกล้ๆ เลยแวะเข้าไปหน่อยดีกว่า ข้างนอกเป็นกำแพงหนาๆเก่าๆ โซเลียบอกเดินผ่านแถวนี้ประจำแต่ไม่เคยคิดจะเข้าเลย



ตัวตึกด้านนอก





Lady with the Unicorn



ผ้าทอชุด Lady with the Unicorn นี้เป็นไฮไลท์ของพิิพิธภัณฑ์เลย มีอยู่ 5-6 ผืน ผืนนึงใหญ่เท่าฝาห้องเลยทีเดียว (ไปเที่ยวกลับมาพอได้ดู Harry Potter แล้วเลยเพิ่งสังเกตว่า ผนัง common room ของ Griffindor ก็คือผ้าลายนี้แหละ)



Gallery of the Kings



ข้างในก็มีหลายโซน ส่วนใหญ่เป็นพวกไม้แกะสลักเรื่องราวของพระเยซู มีรูปปูนปั้น ผ้าทอ แล้วก็พวกข้าวของเครื่องใช้สมัยยุคกลาง
มีการเปลี่ยนไกด์นำเที่ยวนิดหน่อย คุณแวงกลับไป มะปรางมาแทน แล้วก็ไปขึ้น metro (รถไฟใต้ดิน) ไปย่านมงมาร์ต Montmartre ทางด้านเหนือของเมืองปารีส ย่านนี้เป็นย่านศิลปิน มีคนวาดรูปขายตามตลาด มีร้านอาหารน่ารักๆเยอะแยะเลย แต่ตรงที่เป็นย่านคนดำ+แขกเป็นน่ากลัวใช้ได้ สถานีรถไฟสกปรก+โทรมๆ ต้องเดินระวังๆกันหน่อย มีขายเสื้อผ้าุลดราคาเยอะเลย เห็นสองสาวเจ้าถิ่นตาโตกันใหญ่ วางแผนกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องกลับมาช้อปแถวนี้ให้ได้

ย่านนี้จะมีเนินสูงอยู่ด้านบนสุด เป็นที่ตั้งของโบถส์สไตล์โรมัน-ไบเซนไทน์ Sacre-Coeur (ไม่สามารถออกเสียงเป็นภาษาไทยได้ แต่ประมาณขากๆเนี่ยแหละ) ยอดแหลมบนโบสถ์นี่เป็นจุดสูงสุดอันดัน 2 ในเมืองปารีส รองจากหอไอเฟล



ผู้คนล้นหลามใช้ได้ ทางเดินขึ้นปลูกดอกไม้สีน่ารักเชียว





วิวจากหน้าโบสถ์ มองเห็นปารีสทั้งเมือง



ในโบสถ์นี้เป็นที่เดียวในทริปที่ห้ามถ่ายรูป (ยามหน้าโหดมาก ไม่ควรแหยม) เลยไม่มีรูปมาให้ได้ดูกัน หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถเมล์ที่ลัดเลาะไปตามถนนเล็กๆของย่านนี้ ชมย่านศิลปินและร้านเล็กๆระหว่างทาง



มีศิลปินมาวาดรูปกันตามลาน (มีแค่ลานนิดเดียวเอง จริงๆแล้ว)





ร้านเล็กๆน่ารักๆแบบนี้มีให้เห็นทั่วไป





ร้านนี้ก็น่ารัก ดอกไม้ล้นร้านเชียว



แล้วก็เดินไปถ่ายรูปหน้า Moulin Rouge กันซะหน่อย ตรงนี้มันย่าน red light เลยนี่หว่า สาวๆ 3 คนกันสปีดมาก ขนาดยังไม่มืดร้านยังไม่เปิดกันนะ




จากนั้นก็ลง metro อีกครั้งไปโผล่ใจกลางเมือง เพราะมะปรางบอกว่าวันนี้จะมี สนามกีฬา Olympic กันกลางถนน Champs-Elysees เพราะเมืองปารีสกำลังเข้าชิงเป็นเจ้าภาพจัด Olympic ปี 2012 อยู่ (แต่สุดท้ายก็แพ้ Londonไป)งานมีแค่วันนี้วันเดียว จะพลาดได้ไง




อุตส่าห์เลือกลง metro ที่โผล่ขึ้นมาเจอประตูชัยเลย กลายเป็นว่าตรงประตูชัยเค้าปิดถนน ต้องเดินอ้อมตึกไปไกลมาก กว่าจะได้ตัดมาเข้า Champs-Elysees ผู้คนล้นหลามมาก เดินกันแน่นถนนไปหมด มีสนามกีฬาเรียงกันไปตามถนน ตั้งแต่ลู่วิ่ง ลานบาสเกตบอล สระว่ายน้ำ สระเรือใบ วอลเล่ย๋บอลชายหาด มวยปล้ำ ฯลฯ มีคนมาเล่นกีฬาให้ดู สลับกันให้เด็กๆขึ้นไปเล่นได้ ที่คนมามุงเยอะมากๆก็เห็นจะเป็นลานฟันดาบ เพราะมีคนแต่งตัวย้อนยุคมาประลองกันพร้อมเพลงประกอบ กระหึ่ม เร้าใจมาก






กระเป๋าหลุยส์ใบใหญ่หน้าตึกหลุยส์ วิกตอง (ก่อนเปลี่ยนเป็นโฉมใหม่ไม่นาน)



เดินกันจนสุดถนนก็มาโผล่ที่ Place de la Concorde ลานกว้างกลางเมืองปารีสที่มีเสา obelisk (เสาอียิปต์อ่ะ ไว้ดูรูปของอีกวันนะ) อายุ 3200 ปี (จริงหรอ) ลานนี้เป็นเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเป็นลานที่ตั้งเครื่องกิโยตินที่ประหารคนนับพันในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส




เดินตัดลานกว้างมาก็มาเจออีกสวนสาธารณะนึง จริงๆอยากจะบอกว่าเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว ทั้งเมื่อยไหล่ และเมื่อยขามาก แต่เกรงใจคนนำเที่ยว เลยต้องกัดฟันทนเดินต่อทะลุ Jardin des Tuileries (ยังจำได้เปล่า jardin แปลว่าสวน) มาโผล่หน้าปิระมิดแก้วแห่งลูฟส์ ยืนถ่ายรูปกันหน่อยแล้วก็ลงไปเดินหาปิรามิดแก้วกลับหัว คนอ่านรหัสดับดาวินชี่คงรู้จักดี (จำได้ว่าไปถ่ายรูปมาแล้วนี่ รูปไปไหนหว่า??)

ในที่สุดคุณมะปรางแล้วโซเลียก็ปราณี ให้กลับไป check-in ที่ hostel ได้ (ทัวร์ทรหดมาก) ขึ้นห้อง เอากระเป๋าไปวางตอนหัวค่ำๆ คนอื่นยังไม่มีใครกลับมาที่ห้อง ห้องนอนรวม 5 คน เหลือเตียงบนริมประตูไว้อยู่เตียงเดียว เราก็เอาของวางแล้วก็ออกมาหาไรกินกันแถวๆที่พัก

คนปารีสนิยมกินเครปกันมา ทั้งของคาวและหวาน วันนี้เลยลองซะหน่อย ร้านเล็กๆน่ารักๆ มีอาหารชุดคือ สลัด +เครปเห็ดแฮมชีส + ไซเดอร์(ซ่าๆมีผสมเหล้านิดๆ เครื่องดื่มยอดนิยมของคนปารีสอีกเช่นกัน)

อาหารรอนานมากกกกกก กว่าจะได้กินแต่ละจาน คุยจบไปหลายเรื่องแล้ว คุณเจ้าบ้านบอกว่าเป็นธรรมเนียมกินอาหารของที่นี่ เค้าจะค่อยๆเสิร์ฟทีละจานๆ ให้enjoyอาหาร+บรรยากาศให้เต็มที่ กว่าจะกินหมดแต่ละมื้อก็เป็นชั่วโมงๆ



จานแรกสลัด ก็ผักๆธรรมดา ชีสกลิ่นแรงไปหน่อยแต่ก็อร่อยดี


ไอ้เครปนี่สิ แหลกม่ายลงเลยจริงๆ แห้งๆ จืดๆ
เจ้าบ้านทั้ง 3 รีบแก้ต่างใหญ่ “ปกติเครปมันอร่อยนะ แต่ร้านนี้มันไม่อร่อย”


ถ่ายรูปในร้านกันซะหน่อย


หมดไป 8 ยูโร+เวลา 3 ชั่วโมงอาหารเย็นมื้อนี้ - -‘ กลับถึงที่นอนก็ห้าทุ่มครึ่งแล้ว อีก 4 คนที่อยู่ห้องเดียวกันปิดไฟนอนกันหมดแล้ว จะเปิดไฟก็เกรงใจเลยต้องคลำๆหาของไปอาบน้ำแล้วก็จัดของเข้านอนทั้งมืดๆอย่างงั้นแหละ เป็นวันที่ยาวนานมากๆเลยวันนี้