นู๋หิ่นน์ อินโตเกียว พาเที่ยว 10 ชม. (1)
เมื่อบริษัททัวร์หรรษาดันพานู่หิ่นน์กับพ่อแม่วัยเฉียดหกสิบของเธอไปเยี่ยมโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ พวกเราเลยต้องตัดสินใจตีจากคณะทัวร์ และออกเดินทางด้วยตัวเอง (อ่ะนะก็นู่หิ่นน์มีโอกาสมาโตเกียวตอนอายุเกือบ 30 ถ้ามาเมื่อยี่สิบปีก่อนนู๋หิ่นน์คงดี๋ ด๋า แต่วันนี้ บายค่ะ)
นู๋หิ่นน์และคณะ(บุพการี) เลยมีเวลาว่างหนึ่งวันเต็มๆ เดินเล่น สัมผัสกลิ่นอายเมืองปลาดิบในแบบของเราเอง
ความเดิม ก็เพราะไปกับทัวร์ของ ANA อ่ะนะ ก็เลยได้พักกันที่ ANA Narita Airport Hotel เป็นโรงแรมใช้ได้เลย สี่ดาว บริการแบบตะวันตก ข้อดีคือมันอยู่ใกล้สนามบินมาก ทำให้เดินทางมาและไปสนามบิน Narita International Airport ได้สะดวก แต่ก็อ่ะนะ มันไกลจากตัวเมืองโตเกียวพอควรเลยแหละ ดูจากป้ายข้างทางเค้าบอกไว้ว่าประมาณ 60 กิโลเมตร (กรุงเทพ – นครปฐมเลยนะนั่น)
ตอนเช้าเราก็เลยต้องเดินทาง จากที่พักเข้าไปในเมือง ทางโรงแรมมีบริการ Shuttle Bus ฟรี เราก็เลนอาศัยรถฟรีนี่นั่งไปสนามบิน
ก่อนมาญี่ปุ่น ได้ยินสรรพคุณว่ารถไฟที่ญี่ปุ่นนี่ขึ้นยาก มีหลายสาย แต่สาวมั่นอย่างนู๋หิ่นน์ไม่เชื่อค่ะ แต่ว่าพอมาจริงๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไม เพราะว่า มันเล่นมีตั้งไม่รู้กี่สาย บนดิน ใต้ดิน ด่วนพิเศษ ด่วนธรรมดา เป็นงง! เดินไปที่ตู้ขายตั๋วพยายามจะซื้อตั๋วก็อ่านไม่ออก เลยไปคุยกะคนขายตั๋วได้ความว่าชนิดของตั๋วที่ถูกที่สุด คือให้ขึ้น Kansei line ซึ่งเป็นสายที่วิ่งเป็นวงกลมๆ ผ่านสนามบิน ไปลงที่ Ueno Station แล้วให้ต่อ Japan Rail สาย Yamanote line ไปลงที่ สถานีโตเกียว ถามว่า ราคาเท่าไหร่ ตกลงคนละ 1,200 เยน โอเค ก็พอทน
ขึ้นรถไฟมา ไหนมันโทรมจังวะ เหม็นด้วย แถมนั่งแล้วคัน ไม่เห็นไฮเทคสมชื่อญี่ปุ่น ดูในแผนที่ Ueno คือสถานีที่สองจากสนามบิน เราก็นั่งไป ผ่านไป ผ่านไป สามสี่ สถานี เอ๊ะ ทำไมมันไม่เห็นมี Ueno เลยฟะ เริ่มไม่แน่ใจ หันไปถามเด็กนักเรียนที่นั่งข้างๆ ได้ผลว่าทันตาว่า I don’t speak English เวนแล้ว หิ่นน์เลยเริ่มมองรอบๆ ตัว เห็นไอ้หนุ่มแบกเป้ ท่าทางอินเตอร์ ส่งยิ้มให้ เลยทักไป Does this train go to Ueno? พี่แกยิ้มเผล่ พยักหน้า แล้วส่ายหน้า (แล้วมันแปลว่าไรฟะ?) เริ่มหวั่นๆ แล้วนะ ไม่อยากขึ้นผิด ไม่อยากจ่ายเงินอีก (งกนะ) และแล้วเสียงจากสวรรค์ก็ โปรยมา I speak English, do you need help? เสียงมาจากผู้หญิง ท่าทางป้าๆ (จริงๆ เค้าก็ไปป้าหรอก รุ่นๆ เรานี่แหละ) นั่งตรงกันข้าม ซึ่งดูแล้วหน้าตา เชยๆ ชีช่างเป็นคนสุดท้ายที่เราจะถามหา แต่ว่า (บอกแล้ว อย่าตัดสินคนจากหน้าตา) เราเลยย้ายไปนั่งกับเค้าและเริ่มถามทาง ป้าบอกว่า อ๋อ ไอ้นี่มันแผนที่ย่อ ต้องดูอันเต็มๆ อันนี้ ป้าควักจากกระเป๋ามาให้ดู ไอ้หยา! มีสถานีอีกพรึบเลย กว่าจะถึง Ueno ตายละหว่ะ ถามป้า อีกนานมั๊ย ป้าบอก อีกชม. กว่าๆ อ่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวถึงแล้วเรียก yay!
คุยกะป้าต่ออีกหน่อย เราเลยทัก ว่าป้าโตที่ออสเตรเลียเหรอ ป้าถามรู้ได้ไง หนูเลยบอกว่า ก็ the way you talk อ่ะนะ ป้าเลยยิ่งภูมิใจ นำเหนอสำเนียงออสเซ่แกเข้าไปใหญ่ หนูเลย เริ่ม ป้า หนูฟังไม่ออก
ฮ่าาๆ ล้อเล่น น่า
ถึงสถานี Ueno เปลี่ยนรถไฟ มาเป็นสาย Yamanote Line รถไฟสายนี้คือรถไฟที่วิ่งบนดินเป็นวงกลมๆ อยู่รอบตัวเมือง ก้าวแรกที่ขึ้นมา โห โฆษณา พรึบ! ยังกะขึ้น shoo shoo train แถมยังมีจอ LCD ติดบนหน้าประตูกทุกบานอีก รถไฟเริ่มวิ่งเข้าสู่ตัวเมืองโตเกียว สังเกตได้ จากประชาชนที่โดยสารมาด้วยกันที่เริ่มจะแต่งตัวมีสีสันและแบรนด์เนม
(ไฮ เทคดีเน้อะ)
ผ่านสถานีโตเกียว ไป สถานีที่ 7 เป็นจุดหมายปลายทาง และแล้ว เราก็ลงมาที่สถานี Meguro
DESTINATION I: Tokyo Parasite Museum
จากสถานี Meguro ขึ้นรถเมล์สาย 2 เอากระดาษเขียนชื่อถนนยื่นให้คนขับ มันดู แล้วทำท่าคิด (คิดนานจังวะ) เราถาม เท่าไหร่ มันก็ยังดูแล้วคิดไม่ตก เราเลยบอก “Otori Jinja~” มันรีบพยักหน้า Hi~ แล้วกดเลข 210 เยนต่อคน (อ่ะโด่ อ่านไม่ออกแล้วฟอร์มนี่หว่า) ขึ้นมาแป๊บเดียวเองเห็นป้ายชื่อถนน อ้าว ถึงแล้ว! 210 เยนของช้านนนน
“Meguro Parasitological Museum”
รู้จักพิพิธภัณฑ์นี้จาก UBC Excite ดูแล้ว Oh excited มากๆๆ เป็น พิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการสนับสนุนโดยนักวิจัย ชื่อ Satoru Kamegai ผู้ที่รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องปรสิตวิทยา มาตั้งแต่ปี 1953 แต่เหมือนจะเปิดเป็นทางการให้คนดูจริงๆ เมือปี 2002 เพราะที่นี่รวบรวมพยาธิ และปรสิตต่างไว้มากกว่า 300 ชนิด และdisplay โรคที่เกิดจาก ปรสิตต่างๆ โอ้วว ตื่นเต้นฮ่า~
ห้องแสดงนิทรรศการมีสองชั้น มีแบบนี้ให้ดู
แบบนี้
แล้วก็แบบนี้
นี่คือ highlight ของที่นี่นะ เป็น พยาธิตัวแบน (Tapeworm) ที่มีความยาวต่อเนื่องถึง 30 ฟุต!! อาศัยในท้องคน!
เดินดูแล้ว อี๋ สะใจมาก ดีนะกินข้าวมาแล้ว ม่ะม๊า ดูแล้วติดใจ เลือดนักวิทยาศาสตร์ขึ้น บอกว่า เมืองไทยต้องมีพิพิธภัณฑ์ อย่างนี้มั่ง แม่จะทำ (เอาเลยแม่ ตามสบาย)
ออกจากพิพิธภัทณ์ จะกลับสถานีแล้วหล่ะ เดินกลับมาตามถนน Meguro Dori Avenue เจอวัด Otori Jinja เลยแวะซักหน่อย ดูมันได้บรรยากาศชาวบ้านดี ไม่งั้นวัดที่ไปมาเมื่อวานมีแต่นักท่องเที่ยว ที่ชอบคือทุกวันจะมีราวตากผ้าไว้ให้เขียนขอพรบนแผ่นไม่แล้วแขวนไว้ อยากเขียนมากๆนะ แต่ไม่รู้จะไปเอาแผ่นไม้มาจากไหน (อีกแล้ว ว่าอ่านไม่ออก)
เดินต่อขึ้นสะพานข้ามคลอง เล็กมาก แต่ไม่อยากบอกเลยว่าจริงๆมันคือ Meguro River แต่ชอบนะ อยากมีคลองอย่างนี้ไว้ในบ้าน มองไปปลายคลองเห็นตึกยอดแหลม เห็นแล้วนึกถึง ตึกธนาคารกสิกรริมแม่น้ำ แถวๆ พระรามสอง หรือ สามจัง
เดินต่อเรียบถนนเดิมไปเรื่อยๆ ถึงแล้ว สถานีรถไฟ จริงๆ ไอ้ Museum นี่ก็ไม่ได้ไกลจาก สถานีเลยนะ นู๋จะเอาค่ารถเมล์คืนง่ะ!
และแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับไปสถานีโตเกียว
ไกลกว่ารถเมล์ตั้งเยอะ แค่ 170 เยนเอง
สถานีโตเกียวหน้าตาเป็นงี้
นู๋หิ่นน์และคณะ(บุพการี) เลยมีเวลาว่างหนึ่งวันเต็มๆ เดินเล่น สัมผัสกลิ่นอายเมืองปลาดิบในแบบของเราเอง
ความเดิม ก็เพราะไปกับทัวร์ของ ANA อ่ะนะ ก็เลยได้พักกันที่ ANA Narita Airport Hotel เป็นโรงแรมใช้ได้เลย สี่ดาว บริการแบบตะวันตก ข้อดีคือมันอยู่ใกล้สนามบินมาก ทำให้เดินทางมาและไปสนามบิน Narita International Airport ได้สะดวก แต่ก็อ่ะนะ มันไกลจากตัวเมืองโตเกียวพอควรเลยแหละ ดูจากป้ายข้างทางเค้าบอกไว้ว่าประมาณ 60 กิโลเมตร (กรุงเทพ – นครปฐมเลยนะนั่น)
ตอนเช้าเราก็เลยต้องเดินทาง จากที่พักเข้าไปในเมือง ทางโรงแรมมีบริการ Shuttle Bus ฟรี เราก็เลนอาศัยรถฟรีนี่นั่งไปสนามบิน
ก่อนมาญี่ปุ่น ได้ยินสรรพคุณว่ารถไฟที่ญี่ปุ่นนี่ขึ้นยาก มีหลายสาย แต่สาวมั่นอย่างนู๋หิ่นน์ไม่เชื่อค่ะ แต่ว่าพอมาจริงๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไม เพราะว่า มันเล่นมีตั้งไม่รู้กี่สาย บนดิน ใต้ดิน ด่วนพิเศษ ด่วนธรรมดา เป็นงง! เดินไปที่ตู้ขายตั๋วพยายามจะซื้อตั๋วก็อ่านไม่ออก เลยไปคุยกะคนขายตั๋วได้ความว่าชนิดของตั๋วที่ถูกที่สุด คือให้ขึ้น Kansei line ซึ่งเป็นสายที่วิ่งเป็นวงกลมๆ ผ่านสนามบิน ไปลงที่ Ueno Station แล้วให้ต่อ Japan Rail สาย Yamanote line ไปลงที่ สถานีโตเกียว ถามว่า ราคาเท่าไหร่ ตกลงคนละ 1,200 เยน โอเค ก็พอทน
ขึ้นรถไฟมา ไหนมันโทรมจังวะ เหม็นด้วย แถมนั่งแล้วคัน ไม่เห็นไฮเทคสมชื่อญี่ปุ่น ดูในแผนที่ Ueno คือสถานีที่สองจากสนามบิน เราก็นั่งไป ผ่านไป ผ่านไป สามสี่ สถานี เอ๊ะ ทำไมมันไม่เห็นมี Ueno เลยฟะ เริ่มไม่แน่ใจ หันไปถามเด็กนักเรียนที่นั่งข้างๆ ได้ผลว่าทันตาว่า I don’t speak English เวนแล้ว หิ่นน์เลยเริ่มมองรอบๆ ตัว เห็นไอ้หนุ่มแบกเป้ ท่าทางอินเตอร์ ส่งยิ้มให้ เลยทักไป Does this train go to Ueno? พี่แกยิ้มเผล่ พยักหน้า แล้วส่ายหน้า (แล้วมันแปลว่าไรฟะ?) เริ่มหวั่นๆ แล้วนะ ไม่อยากขึ้นผิด ไม่อยากจ่ายเงินอีก (งกนะ) และแล้วเสียงจากสวรรค์ก็ โปรยมา I speak English, do you need help? เสียงมาจากผู้หญิง ท่าทางป้าๆ (จริงๆ เค้าก็ไปป้าหรอก รุ่นๆ เรานี่แหละ) นั่งตรงกันข้าม ซึ่งดูแล้วหน้าตา เชยๆ ชีช่างเป็นคนสุดท้ายที่เราจะถามหา แต่ว่า (บอกแล้ว อย่าตัดสินคนจากหน้าตา) เราเลยย้ายไปนั่งกับเค้าและเริ่มถามทาง ป้าบอกว่า อ๋อ ไอ้นี่มันแผนที่ย่อ ต้องดูอันเต็มๆ อันนี้ ป้าควักจากกระเป๋ามาให้ดู ไอ้หยา! มีสถานีอีกพรึบเลย กว่าจะถึง Ueno ตายละหว่ะ ถามป้า อีกนานมั๊ย ป้าบอก อีกชม. กว่าๆ อ่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวถึงแล้วเรียก yay!
คุยกะป้าต่ออีกหน่อย เราเลยทัก ว่าป้าโตที่ออสเตรเลียเหรอ ป้าถามรู้ได้ไง หนูเลยบอกว่า ก็ the way you talk อ่ะนะ ป้าเลยยิ่งภูมิใจ นำเหนอสำเนียงออสเซ่แกเข้าไปใหญ่ หนูเลย เริ่ม ป้า หนูฟังไม่ออก
ฮ่าาๆ ล้อเล่น น่า
ถึงสถานี Ueno เปลี่ยนรถไฟ มาเป็นสาย Yamanote Line รถไฟสายนี้คือรถไฟที่วิ่งบนดินเป็นวงกลมๆ อยู่รอบตัวเมือง ก้าวแรกที่ขึ้นมา โห โฆษณา พรึบ! ยังกะขึ้น shoo shoo train แถมยังมีจอ LCD ติดบนหน้าประตูกทุกบานอีก รถไฟเริ่มวิ่งเข้าสู่ตัวเมืองโตเกียว สังเกตได้ จากประชาชนที่โดยสารมาด้วยกันที่เริ่มจะแต่งตัวมีสีสันและแบรนด์เนม
(ไฮ เทคดีเน้อะ)
ผ่านสถานีโตเกียว ไป สถานีที่ 7 เป็นจุดหมายปลายทาง และแล้ว เราก็ลงมาที่สถานี Meguro
DESTINATION I: Tokyo Parasite Museum
จากสถานี Meguro ขึ้นรถเมล์สาย 2 เอากระดาษเขียนชื่อถนนยื่นให้คนขับ มันดู แล้วทำท่าคิด (คิดนานจังวะ) เราถาม เท่าไหร่ มันก็ยังดูแล้วคิดไม่ตก เราเลยบอก “Otori Jinja~” มันรีบพยักหน้า Hi~ แล้วกดเลข 210 เยนต่อคน (อ่ะโด่ อ่านไม่ออกแล้วฟอร์มนี่หว่า) ขึ้นมาแป๊บเดียวเองเห็นป้ายชื่อถนน อ้าว ถึงแล้ว! 210 เยนของช้านนนน
“Meguro Parasitological Museum”
รู้จักพิพิธภัณฑ์นี้จาก UBC Excite ดูแล้ว Oh excited มากๆๆ เป็น พิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการสนับสนุนโดยนักวิจัย ชื่อ Satoru Kamegai ผู้ที่รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องปรสิตวิทยา มาตั้งแต่ปี 1953 แต่เหมือนจะเปิดเป็นทางการให้คนดูจริงๆ เมือปี 2002 เพราะที่นี่รวบรวมพยาธิ และปรสิตต่างไว้มากกว่า 300 ชนิด และdisplay โรคที่เกิดจาก ปรสิตต่างๆ โอ้วว ตื่นเต้นฮ่า~
ห้องแสดงนิทรรศการมีสองชั้น มีแบบนี้ให้ดู
แบบนี้
แล้วก็แบบนี้
นี่คือ highlight ของที่นี่นะ เป็น พยาธิตัวแบน (Tapeworm) ที่มีความยาวต่อเนื่องถึง 30 ฟุต!! อาศัยในท้องคน!
เดินดูแล้ว อี๋ สะใจมาก ดีนะกินข้าวมาแล้ว ม่ะม๊า ดูแล้วติดใจ เลือดนักวิทยาศาสตร์ขึ้น บอกว่า เมืองไทยต้องมีพิพิธภัณฑ์ อย่างนี้มั่ง แม่จะทำ (เอาเลยแม่ ตามสบาย)
ออกจากพิพิธภัทณ์ จะกลับสถานีแล้วหล่ะ เดินกลับมาตามถนน Meguro Dori Avenue เจอวัด Otori Jinja เลยแวะซักหน่อย ดูมันได้บรรยากาศชาวบ้านดี ไม่งั้นวัดที่ไปมาเมื่อวานมีแต่นักท่องเที่ยว ที่ชอบคือทุกวันจะมีราวตากผ้าไว้ให้เขียนขอพรบนแผ่นไม่แล้วแขวนไว้ อยากเขียนมากๆนะ แต่ไม่รู้จะไปเอาแผ่นไม้มาจากไหน (อีกแล้ว ว่าอ่านไม่ออก)
เดินต่อขึ้นสะพานข้ามคลอง เล็กมาก แต่ไม่อยากบอกเลยว่าจริงๆมันคือ Meguro River แต่ชอบนะ อยากมีคลองอย่างนี้ไว้ในบ้าน มองไปปลายคลองเห็นตึกยอดแหลม เห็นแล้วนึกถึง ตึกธนาคารกสิกรริมแม่น้ำ แถวๆ พระรามสอง หรือ สามจัง
เดินต่อเรียบถนนเดิมไปเรื่อยๆ ถึงแล้ว สถานีรถไฟ จริงๆ ไอ้ Museum นี่ก็ไม่ได้ไกลจาก สถานีเลยนะ นู๋จะเอาค่ารถเมล์คืนง่ะ!
และแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับไปสถานีโตเกียว
ไกลกว่ารถเมล์ตั้งเยอะ แค่ 170 เยนเอง
สถานีโตเกียวหน้าตาเป็นงี้
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home