โตเกียว 4: โยโกฮาม่า ไชน่าทาว์น พิพิธภัณฑ์ราเมง
23 มีนาคม 2546
วันอาทิตย์ทั้งสองวันไม่มีโปรแกรมอะไร ไว้ใครอยากไปไหนก็ไป(แต่ก็เหมือนจะอยู่เป็นกระจุกอยู่ดี) แต่เรามีโปรแกรมแล้ว นัดโยโกะกับฮิโรไปโยโกฮาม่ากัน (จริงๆแล้วฮิโรเป็นคนวางแผน) บอกคนอื่นว่าจะไปโยโกฮาม่านะ คนอื่นๆก็ทำท่าเหมือนอยากไป แต่เราก็ไม่ได้ชวนใคร (ก็พวกนี้มันชักช้านี่ เสียเวลาอันมีค่าของเรา จะว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัวก็ว่าเถอะ แบบว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง) แล้วแค่นี้ก็กวนฮิโรกะโยโกะมากแล้ว จะให้เค้ามานำเที่ยวคนทั้งกลุ่มก็กระไรอยู่ โยโกะกับฮิโรก็ไม่ได้รู้จักกันเลย แต่เราว่างแค่วันนี้นี่นา เอาโยโกะไปด้วยก็ดี เพราะเราสื่อสารกะฮิโรไม่ค่อยรู้เรื่อง กว่าจะพูดกันได้แต่ละประโยด แต่ฮิโรพาเที่ยวดีมากเลยนะ ศึกษามาอย่างดี ไปยังไง ทางไหนถูก ต้องไปที่ไหนก่อนที่ไหนหลัง ที่ไหนเปิดปิดกี่โมงพี่แกรู้หมด
นัดกันที่สถานีโตเกียว ก็เริ่มด้วยถ่ายรูปหน้าสถานี (สถานีเป็นตึกเก่าแก่น่ะ) ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอฮิโรก็พาไปพิพิธภัณฑ์ Telecommunication ที่อยู่ใกล้ๆ แถมเตรียมคูปองเข้าฟรีมาเรียบร้อย เราก็เดินดูวิวัฒนาการโทรศัพท์ การไปรษณีย์ ทีวี ฯลฯ กันไป มีหนัง 3D ให้ดูด้วย เดินอยู่พักใหญ่เลยกว่าจะออกมา แล้วก็ไปไปรษณีย์กลางโตเกียว เค้าทำงานวันอาทิตย์กันด้วย มีขายแสตมป์เป็นcollection เยอะแยะเลย แต่ที่น่ารักคือตามเคาท์เตอร์สำหรับเขียน มีแว่นสายตาอยู่ 2-3 อันเป็นสีแดง สีฟ้า สีเขียวสำหรับสายตาต่างๆ เผื่อคนแก่ไม่ได้พกแว่นมามั้ง อย่างในเมืองก็จะมีพื้นตุ่มๆให้คนตาบอดทุกที่เลย ตามถนน สถานีรถไฟก็จะมีปุ่มๆอักษรเบลล์บอกไว้ว่าชานชาลานี้รถไฟสายอะไร ประทับใจจริงๆ
กลับมาที่โตเกียวต่อ ฮิโรก็พาเดินๆๆๆ ผ่านตรงที่เป็นปราสาทโตเกียว อยากเข้าไปดูจังแต่ฮิโรบอกว่าเค้าไม่เปิดให้เข้าไป น่าเสียดาย และแล้วในที่สุดก็ได้ขึ้นรถไฟไปโยโกฮาม่าซักที เล่นเอาเกือบเที่ยง (จะบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวไรเลยนะเนี่ย) นั่งไปแค่ 20-30 นาทีก็ถึง (มันอยู่ใกล้หรือรถไฟที่นี่วิ่งเร็วไม่รู้) ไปถึงฮิโรก็พาไปที่ Tourist information ใกล้ๆ เอาแผนที่ แผ่นพับต่างๆให้เรากะโยโกะด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เชี่ยวชาญ (น่าจะไปเป็นไกด์นะ) แล้วก็พาขึ้นตึกสูงๆตรงนั้น (จำไม่ได้อีกแล้วว่าชื่อตึกอะไร) ขึ้นไปชมวิวเมืองสวยดีเพราะเป็นเมืองท่า มองไปมีเรือ แล้วก็มีสวนสนุกอยู่ริมน้ำ มีชิงช้าสวรรค์ใหญ่มากๆ (ถ้าเทียบกะเมืองไทยนะ) แล้วบนนั้นก็มีขายของที่ระลึก ของส่วนใหญ่มีรูปเด็กผู้หญิงกับรองเท้าสีแดง เราก็ถามโยโกะว่าทำไมต้องเป็นรูปนี้ โยโกะทำท่าคิดแล้วตอบมาว่า “แต่ก่อนมีเด็กผู้หญิงคนนึง ..... เค้าตาย” - -‘ ถามฮิโรๆก็ไม่รู้
ไอ้ตึกนี่แหละที่ขึ้นไปกัน
ถ่ายรูปลงมาเป็นอ่าวกว้างใหญ่
เราก็ซื้อโปสการ์ดไปตามระเบียบ พอดีมีโชว์เริ่มแสดงพอดี เป็นคนเลี้ยงลิง พาลิงมาเล่นกายกรรม ยืนดูกันนานมาก กว่าจะได้ลงไป ข้างล่างหน้าตึกมี street performance อีก พวกโยนลูกบอล โยนคฑาไฟเนี่ย ก็ไปนั่งดูกันต่ออีก หิวมาก เมื่อยมาก แต่ฮิโรเค้าตั้งใจนำเที่ยวเหลือเกินเลยไม่กล้าขัด จริงๆแวะกินทาโกะยากิกันตอนลงสถานีมาหน่อยนึง แต่ฮิโรอยากให้ไปกินที่ China town กัน แล้วเลยเดินไปป้ายรถเมล์อีกรอบ รอนานมากกก
นั่งรถเมล์ไปลงสวนที่มองเห็นวิวอ่าวกับสะพานสวยงาม ถ่ายรูปแล้วเดินต่อไปยัง China town (ในที่สุด!) คนเดินถือซาลาเปาลูกใหญ่ควันฉุยๆกันเต็มเลย อยากกินมาก แต่ฮิโรจะพาไปกินบุฟเฟ่อาหารจีน 2000 เยน ไปถึงต้องรอคิวอีก (หิวโว้ยย) เลยไปนั่งจิบกาแฟ+ชารอที่ร้านใกล้ๆ
ในไชน่าทาว์น คนเดินกันเต็มเลย
ร้านกาแฟที่ญี่ปุ่นเค้าจัดร้านน่ารักจัง มีกาแฟกับชาหลายอย่างให้เลือก ฮิโรสั่งชามากานึง เค้ามีนาฬิกาทรายเล็กๆมาตั้งให้ด้วย บอกว่าทรายตกหมดแล้วค่อยดื่มนะคะ โยโกะบอกว่าพวก coffee shopที่ญี่ปุ่นฮิตมาก มี่ทุกที่ แล้วก็จะทำร้านน่ารักๆ แบรด์ของญี่ปุ่นเองด้วย (นึกถึงร้านน้ำชาที่เมืองจีน อย่างกะโรงเล่นไพ่) กินกาแฟหมดก็ถึงคิวพอดี ขึ้นไปเค้าก็ให้สั่งตามเมนูเป็นจานๆ เป็ดปักกิ่งที่ญี่ปุ่นแพงมากๆ ให้แค่คนละจานนเอง (= 1 คำ)
ฮิโรกะโยโกะก็สอนให้เราพูดคำว่า “เก็บจานด้วยค่ะ” กว่าจะจำได้ ยาวมากตามสไตล์ภาษาญี่ปุ่น หันไปยังไม่ทันพูดพนักงานก็เก็บจานไปเรียบร้อย แง่ง ! รู้สึกว่าวันนั้นจะได้กินข้าวกันตอน 4 โมงเย็นแน่ะ กินเสร็จก็เดินถ่ายรูป ซื้อของฝากแล้วก็กลับไปที่สวนตะกี้ใหม่ตอนมืดแล้ว ได้ถ่ายรูปยามค่ำคืนได้บรรยากาศไปอีกแบบ
จริงๆเรายังเหลือจุดหมายอีกที่คือพิพิธภัณฑ์ราเมง (จริงๆอยากมาโยโกฮาม่าเพราะอันนี้แหละ) เราก็นึกไปว่าคงไม่ได้ไปแล้วเพราะนี่ก็หัวค่ำแล้ว ถามมันยังอยู่ที่ Shin-Yokohama ต้องนั่งรถไฟต่อไปอีก แต่ฮิโรบอกว่ามันปิด 4 ทุ่ม เราก็เลยรีบเดินๆ นั่งรถเมล์ เดินๆๆๆ ไปถึงสามทุ่มนิดหน่อย (เหนื่อยมาก หลังจากที่เพิ่งอิ่มมาก) เข้าไปแบบแทบไม่มีคนแล้ว เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าสงสัยร้านราเมงปิดกันหมดแล้วมั้ง T_T
เข้าไปเป็นเมืองจำลอง สมัยสงครามโลก ฟ้าครึมๆ ตึกเก่าๆ เป็นซอยแคบๆ แล้วก็มีร้านราเมงอยู่หลายร้าน เป็นร้านราเมงขายราเมงให้กินจริงๆ (แล้วก็ต้องจ่ายตังจริงๆ) ร้านพวกนี้เป็นร้านมีชื่อมาจากเมืองต่างๆทั่วญี่ปุ่นเลยนะ แต่ละภาคเค้าจะมีเส้น ซุป เครื่องไม่เหมือนกัน แล้วก็แพงใช้ได้เลย ชามปกติ1000 เยน ชามมินิ 500 เยน จริงๆแล้วเราก็ยังอิ่มอาหารจีนอยู่เลย แต่ฮิโรบอกว่ามาถึงแล้วต้องกิน กินก็กินวะ
เส้นแบบต่างๆ ของแต่ละภูมิภาค
เมืองจำลอง มีร้านบะหมี่อยู่ตามห้องๆพวกนี้แหละ
เข้าไปร้านแรกเค้าเก็บร้านแล้ว ฮิโรเลยรีบวิ่งไปร้านอื่น เค้าก็กำลังจะปิด (แต่ยังมีคนกินไม่เสร็จนั่งอยู่ 2 คน) ฮิโรก็พูดๆประมาณให้ขายหน่อย แบบว่าเรามาไกล พูดจนคนขายยอมทำให้ ฮิโรก็วิ่งไปกดคูปองมินิมา 3 ใบ จากที่ยังอิ๊มอิ่ม นั่งซักแป๊บก็มีราเมงชามย่อมควันฉุย (เท่ากับก๋วยเตี๋ยวชามปกติบ้านเรา) มาอยู่ตรงหน้า ตักน้ำซุปขึ้นมาด้วยความเกรงใจ พอเข้าปากปุ๊บ “อร่อยจัง!!” เรากับโยโกะแทบจะพูดมาพร้อมกัน (เห็นคนขายแอบยิ้ม) สุดท้ายก็กินจนหมดจนได้ ไม่เสียทีที่มาไกลถึงนี่
ไกลใช้ได้ทีเดียวนะ จำได้ว่าไปถึงสถานี Shin-yokohama ตอน5ทุ่ม ยืมโทรศัพท์โยโกะโทรกลับไปที่หอบอกว่ากำลังกลับไม่ต้องเป็นห่วง (จริงๆห่วงตัวเอง กลัวเข้าห้องไม่ได้) พอถึงโตเกียวก็แยกย้ายกันกลับเพราะดึกมากแล้ว 2คนนั่นก็ถามใหญ่ กลับคนเดียวได้จริงๆนะแล้วเราก็นั่งกลับมาที่หอเอง โห..ตอนดึกๆนี่คนเยอะเหมือนกันนะ แบบเบียดๆกันขึ้นเลย รู้สึกรถไฟจะหมดเที่ยงคืน กลับไม่ทันก็ไม่ต้องกลับเลยเพราะที่นี่ค่าแท๊กซี่แพงมาก
พวกที่เจอบนรถรอบเกือบเที่ยงคืนส่วนใหญ่เหมือนเป็นพวกไปเที่ยวกันมา ขึ้นจากชินจูกุเพียบ แบบแต่งตัวเก๋ไก๋ หน้าแดง กลิ่นเหล้าหึ่งกันมาเชียว กว่าจะถึงหอก็เที่ยงคืน อาบน้ำ เก็บของ นอน พอซักเกือบตี1 โทรศัพท์ในห้องก็ดัง (ของเราชัวร์) โยโกะโทรมา ถามว่ากลับถึงแล้วใช่มั๊ย เราก็อือ ถึงแล้ว โยโกะล่ะ โยโกะบอก กำลังจะถึงบ้านแล้ว โอ...ป่านนี้โยโกะยังไม่ถึงบ้านเลย รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก พรุ่งนี้เค้าต้องไปทำงานอีก กลับมาวันนี้รู้สึกซึ้งใจกับฮิโรกับโยโกะเหลือเกิน
วันอาทิตย์ทั้งสองวันไม่มีโปรแกรมอะไร ไว้ใครอยากไปไหนก็ไป(แต่ก็เหมือนจะอยู่เป็นกระจุกอยู่ดี) แต่เรามีโปรแกรมแล้ว นัดโยโกะกับฮิโรไปโยโกฮาม่ากัน (จริงๆแล้วฮิโรเป็นคนวางแผน) บอกคนอื่นว่าจะไปโยโกฮาม่านะ คนอื่นๆก็ทำท่าเหมือนอยากไป แต่เราก็ไม่ได้ชวนใคร (ก็พวกนี้มันชักช้านี่ เสียเวลาอันมีค่าของเรา จะว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัวก็ว่าเถอะ แบบว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง) แล้วแค่นี้ก็กวนฮิโรกะโยโกะมากแล้ว จะให้เค้ามานำเที่ยวคนทั้งกลุ่มก็กระไรอยู่ โยโกะกับฮิโรก็ไม่ได้รู้จักกันเลย แต่เราว่างแค่วันนี้นี่นา เอาโยโกะไปด้วยก็ดี เพราะเราสื่อสารกะฮิโรไม่ค่อยรู้เรื่อง กว่าจะพูดกันได้แต่ละประโยด แต่ฮิโรพาเที่ยวดีมากเลยนะ ศึกษามาอย่างดี ไปยังไง ทางไหนถูก ต้องไปที่ไหนก่อนที่ไหนหลัง ที่ไหนเปิดปิดกี่โมงพี่แกรู้หมด
นัดกันที่สถานีโตเกียว ก็เริ่มด้วยถ่ายรูปหน้าสถานี (สถานีเป็นตึกเก่าแก่น่ะ) ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอฮิโรก็พาไปพิพิธภัณฑ์ Telecommunication ที่อยู่ใกล้ๆ แถมเตรียมคูปองเข้าฟรีมาเรียบร้อย เราก็เดินดูวิวัฒนาการโทรศัพท์ การไปรษณีย์ ทีวี ฯลฯ กันไป มีหนัง 3D ให้ดูด้วย เดินอยู่พักใหญ่เลยกว่าจะออกมา แล้วก็ไปไปรษณีย์กลางโตเกียว เค้าทำงานวันอาทิตย์กันด้วย มีขายแสตมป์เป็นcollection เยอะแยะเลย แต่ที่น่ารักคือตามเคาท์เตอร์สำหรับเขียน มีแว่นสายตาอยู่ 2-3 อันเป็นสีแดง สีฟ้า สีเขียวสำหรับสายตาต่างๆ เผื่อคนแก่ไม่ได้พกแว่นมามั้ง อย่างในเมืองก็จะมีพื้นตุ่มๆให้คนตาบอดทุกที่เลย ตามถนน สถานีรถไฟก็จะมีปุ่มๆอักษรเบลล์บอกไว้ว่าชานชาลานี้รถไฟสายอะไร ประทับใจจริงๆ
กลับมาที่โตเกียวต่อ ฮิโรก็พาเดินๆๆๆ ผ่านตรงที่เป็นปราสาทโตเกียว อยากเข้าไปดูจังแต่ฮิโรบอกว่าเค้าไม่เปิดให้เข้าไป น่าเสียดาย และแล้วในที่สุดก็ได้ขึ้นรถไฟไปโยโกฮาม่าซักที เล่นเอาเกือบเที่ยง (จะบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวไรเลยนะเนี่ย) นั่งไปแค่ 20-30 นาทีก็ถึง (มันอยู่ใกล้หรือรถไฟที่นี่วิ่งเร็วไม่รู้) ไปถึงฮิโรก็พาไปที่ Tourist information ใกล้ๆ เอาแผนที่ แผ่นพับต่างๆให้เรากะโยโกะด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เชี่ยวชาญ (น่าจะไปเป็นไกด์นะ) แล้วก็พาขึ้นตึกสูงๆตรงนั้น (จำไม่ได้อีกแล้วว่าชื่อตึกอะไร) ขึ้นไปชมวิวเมืองสวยดีเพราะเป็นเมืองท่า มองไปมีเรือ แล้วก็มีสวนสนุกอยู่ริมน้ำ มีชิงช้าสวรรค์ใหญ่มากๆ (ถ้าเทียบกะเมืองไทยนะ) แล้วบนนั้นก็มีขายของที่ระลึก ของส่วนใหญ่มีรูปเด็กผู้หญิงกับรองเท้าสีแดง เราก็ถามโยโกะว่าทำไมต้องเป็นรูปนี้ โยโกะทำท่าคิดแล้วตอบมาว่า “แต่ก่อนมีเด็กผู้หญิงคนนึง ..... เค้าตาย” - -‘ ถามฮิโรๆก็ไม่รู้
ไอ้ตึกนี่แหละที่ขึ้นไปกัน
ถ่ายรูปลงมาเป็นอ่าวกว้างใหญ่
เราก็ซื้อโปสการ์ดไปตามระเบียบ พอดีมีโชว์เริ่มแสดงพอดี เป็นคนเลี้ยงลิง พาลิงมาเล่นกายกรรม ยืนดูกันนานมาก กว่าจะได้ลงไป ข้างล่างหน้าตึกมี street performance อีก พวกโยนลูกบอล โยนคฑาไฟเนี่ย ก็ไปนั่งดูกันต่ออีก หิวมาก เมื่อยมาก แต่ฮิโรเค้าตั้งใจนำเที่ยวเหลือเกินเลยไม่กล้าขัด จริงๆแวะกินทาโกะยากิกันตอนลงสถานีมาหน่อยนึง แต่ฮิโรอยากให้ไปกินที่ China town กัน แล้วเลยเดินไปป้ายรถเมล์อีกรอบ รอนานมากกก
นั่งรถเมล์ไปลงสวนที่มองเห็นวิวอ่าวกับสะพานสวยงาม ถ่ายรูปแล้วเดินต่อไปยัง China town (ในที่สุด!) คนเดินถือซาลาเปาลูกใหญ่ควันฉุยๆกันเต็มเลย อยากกินมาก แต่ฮิโรจะพาไปกินบุฟเฟ่อาหารจีน 2000 เยน ไปถึงต้องรอคิวอีก (หิวโว้ยย) เลยไปนั่งจิบกาแฟ+ชารอที่ร้านใกล้ๆ
ในไชน่าทาว์น คนเดินกันเต็มเลย
ร้านกาแฟที่ญี่ปุ่นเค้าจัดร้านน่ารักจัง มีกาแฟกับชาหลายอย่างให้เลือก ฮิโรสั่งชามากานึง เค้ามีนาฬิกาทรายเล็กๆมาตั้งให้ด้วย บอกว่าทรายตกหมดแล้วค่อยดื่มนะคะ โยโกะบอกว่าพวก coffee shopที่ญี่ปุ่นฮิตมาก มี่ทุกที่ แล้วก็จะทำร้านน่ารักๆ แบรด์ของญี่ปุ่นเองด้วย (นึกถึงร้านน้ำชาที่เมืองจีน อย่างกะโรงเล่นไพ่) กินกาแฟหมดก็ถึงคิวพอดี ขึ้นไปเค้าก็ให้สั่งตามเมนูเป็นจานๆ เป็ดปักกิ่งที่ญี่ปุ่นแพงมากๆ ให้แค่คนละจานนเอง (= 1 คำ)
ฮิโรกะโยโกะก็สอนให้เราพูดคำว่า “เก็บจานด้วยค่ะ” กว่าจะจำได้ ยาวมากตามสไตล์ภาษาญี่ปุ่น หันไปยังไม่ทันพูดพนักงานก็เก็บจานไปเรียบร้อย แง่ง ! รู้สึกว่าวันนั้นจะได้กินข้าวกันตอน 4 โมงเย็นแน่ะ กินเสร็จก็เดินถ่ายรูป ซื้อของฝากแล้วก็กลับไปที่สวนตะกี้ใหม่ตอนมืดแล้ว ได้ถ่ายรูปยามค่ำคืนได้บรรยากาศไปอีกแบบ
จริงๆเรายังเหลือจุดหมายอีกที่คือพิพิธภัณฑ์ราเมง (จริงๆอยากมาโยโกฮาม่าเพราะอันนี้แหละ) เราก็นึกไปว่าคงไม่ได้ไปแล้วเพราะนี่ก็หัวค่ำแล้ว ถามมันยังอยู่ที่ Shin-Yokohama ต้องนั่งรถไฟต่อไปอีก แต่ฮิโรบอกว่ามันปิด 4 ทุ่ม เราก็เลยรีบเดินๆ นั่งรถเมล์ เดินๆๆๆ ไปถึงสามทุ่มนิดหน่อย (เหนื่อยมาก หลังจากที่เพิ่งอิ่มมาก) เข้าไปแบบแทบไม่มีคนแล้ว เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าสงสัยร้านราเมงปิดกันหมดแล้วมั้ง T_T
เข้าไปเป็นเมืองจำลอง สมัยสงครามโลก ฟ้าครึมๆ ตึกเก่าๆ เป็นซอยแคบๆ แล้วก็มีร้านราเมงอยู่หลายร้าน เป็นร้านราเมงขายราเมงให้กินจริงๆ (แล้วก็ต้องจ่ายตังจริงๆ) ร้านพวกนี้เป็นร้านมีชื่อมาจากเมืองต่างๆทั่วญี่ปุ่นเลยนะ แต่ละภาคเค้าจะมีเส้น ซุป เครื่องไม่เหมือนกัน แล้วก็แพงใช้ได้เลย ชามปกติ1000 เยน ชามมินิ 500 เยน จริงๆแล้วเราก็ยังอิ่มอาหารจีนอยู่เลย แต่ฮิโรบอกว่ามาถึงแล้วต้องกิน กินก็กินวะ
เส้นแบบต่างๆ ของแต่ละภูมิภาค
เมืองจำลอง มีร้านบะหมี่อยู่ตามห้องๆพวกนี้แหละ
เข้าไปร้านแรกเค้าเก็บร้านแล้ว ฮิโรเลยรีบวิ่งไปร้านอื่น เค้าก็กำลังจะปิด (แต่ยังมีคนกินไม่เสร็จนั่งอยู่ 2 คน) ฮิโรก็พูดๆประมาณให้ขายหน่อย แบบว่าเรามาไกล พูดจนคนขายยอมทำให้ ฮิโรก็วิ่งไปกดคูปองมินิมา 3 ใบ จากที่ยังอิ๊มอิ่ม นั่งซักแป๊บก็มีราเมงชามย่อมควันฉุย (เท่ากับก๋วยเตี๋ยวชามปกติบ้านเรา) มาอยู่ตรงหน้า ตักน้ำซุปขึ้นมาด้วยความเกรงใจ พอเข้าปากปุ๊บ “อร่อยจัง!!” เรากับโยโกะแทบจะพูดมาพร้อมกัน (เห็นคนขายแอบยิ้ม) สุดท้ายก็กินจนหมดจนได้ ไม่เสียทีที่มาไกลถึงนี่
ไกลใช้ได้ทีเดียวนะ จำได้ว่าไปถึงสถานี Shin-yokohama ตอน5ทุ่ม ยืมโทรศัพท์โยโกะโทรกลับไปที่หอบอกว่ากำลังกลับไม่ต้องเป็นห่วง (จริงๆห่วงตัวเอง กลัวเข้าห้องไม่ได้) พอถึงโตเกียวก็แยกย้ายกันกลับเพราะดึกมากแล้ว 2คนนั่นก็ถามใหญ่ กลับคนเดียวได้จริงๆนะแล้วเราก็นั่งกลับมาที่หอเอง โห..ตอนดึกๆนี่คนเยอะเหมือนกันนะ แบบเบียดๆกันขึ้นเลย รู้สึกรถไฟจะหมดเที่ยงคืน กลับไม่ทันก็ไม่ต้องกลับเลยเพราะที่นี่ค่าแท๊กซี่แพงมาก
พวกที่เจอบนรถรอบเกือบเที่ยงคืนส่วนใหญ่เหมือนเป็นพวกไปเที่ยวกันมา ขึ้นจากชินจูกุเพียบ แบบแต่งตัวเก๋ไก๋ หน้าแดง กลิ่นเหล้าหึ่งกันมาเชียว กว่าจะถึงหอก็เที่ยงคืน อาบน้ำ เก็บของ นอน พอซักเกือบตี1 โทรศัพท์ในห้องก็ดัง (ของเราชัวร์) โยโกะโทรมา ถามว่ากลับถึงแล้วใช่มั๊ย เราก็อือ ถึงแล้ว โยโกะล่ะ โยโกะบอก กำลังจะถึงบ้านแล้ว โอ...ป่านนี้โยโกะยังไม่ถึงบ้านเลย รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก พรุ่งนี้เค้าต้องไปทำงานอีก กลับมาวันนี้รู้สึกซึ้งใจกับฮิโรกับโยโกะเหลือเกิน
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home