Nepal 2: หลบผู้ชุมนุม ชมมรดกโลกแห่งกาฐมาณฑุ
Alu Paratha
ทั้งกลุ่ม 30 กว่าคนสั่งอาหารกันคนละอย่าง เมื่อกี้เพิ่งบอกว่ามีเป็น set รวมๆกันมีไม่ถึง 10 อย่างหรอก!!! ในครัวก็ทำช๊าช้า รอกันเป็นชาติกว่าจะได้กินกันครบ แถมวันนี้ประกาศ curfew กันตั้งแต่เที่ยงยัน 5 โมงเย็น แถมยังมีกลุ่มผู้ประท้วงแทบจะทุกมุมเมือง โปรแกรมเที่ยวเราเลยต้องจัดกันใหม่หมด (จัดกันใหม่ทุกครึ่งวันเลยทริปนี้) เวลาเช้าที่เหลือเราเลยได้ไปกันแค่ที่เดียวคือวัดปศุปฏินาถ เป็นมรดกโลกแห่งหนึ่ง เป็นวัดชื่อดังของฮินดูเค้า ประมาณว่าถ้าเป็นคนฮินดูชาตินี้ต้องมาที่นี่ซักครั้ง และเนื่องจากเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์เลยอนุญาตให้แต่คนฮินดูเท่านั้นที่จะเข้าไปในบริเวณวัดได้ พวกเราชาวพุทธเลยได้แต่มองหลังคาทองๆ กับเก็บบรรยากาศรอบนอกวัดเท่านั้น
ก่อนจะไปถึงวัด คนขับรถถอยรถไปชนซุ้มอะไรซักอย่าง..แอบอึ้งเล็กน้อยว่าจะซวยกันไปถึงไหน ..คนเนปาลมามุงเพียบ ....ใครว่าไทยมุงเร็วแล้ว เนปาลมุงนี่เร็วกว่าอีกนะ จะบอกให้
จากโรงแรม เดินไปขึ้นรถ
มีทหารยืนอยู่ตามถนนทั่วเมืองเลย
ถึงจะได้แค่บรรยากาศรอบนอกก็น่าสนใจนะ วัดนี้อยู่ติดกับแม่น้ำบักมาติ เป็นแม่น้ำที่ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำคงคาของอินเดีย ดังนั้นจึงถือว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เค้าว่ากันว่าถ้าเอาขี้เถ้าโปรยลงไปในแม่น้ำ จะทำให้วิญญาณไปสวรรค์ได้...จริงๆถ้าขี้เถ้าอย่างเดียวโปรยไปเหมือนลอยอังคารบ้านเราคงไม่เป็นไรหรอก ...แต่เผอิญโยนซากลงไปด้วยเนี่ย...มันก็ต้องมีตื้นกันมั่งแหละ ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีนะ คือคนก็ยังมาทำพิธีกันที่แม่น้ำ เผาศพเสร็จก็เขี่ยขี้เถ้าลงน้ำ แล้วก็ไม่เคยมีใครกล้ามาลอกแม่น้ำ แม่น้ำเลยตื้นขึ้นเรื่อยๆ แถมตอนเราไปนี่คงเป็นหน้าแล้ง น้ำแห้งขนาดวัวลงไปเดินกินน้ำแล้วน้ำสูงแค่ตาตุ่มวัว (ถ้าไม่บอกนี่ไม่รู้ว่าเป็นแม่น้ำนะเนี่ย นึกว่าเป็นแค่คลองแห้งๆ)
ก่อนเดินเข้าวัด ข้างทางมีร้านขายของประปราย แต่มีคนวิ่งเข้ามาขายของเยอะมาก ..ช่างตื้ออีกต่างหาก ..เดินแล้วห้ามสบตา
ผงสีๆเอาไว้ทำอะไรไม่รู้แฮะ
เหมือนเค้าเอาไว้ปาใส่กันให้เป็นสิริมงคลอ่ะ
ทางเดินริมแม่น้ำบักมาตี มองไปก็จะเห็นวัดปศุปฏิ
ตอนที่เราไปก็พอดีมีเผาศพกันอยู่ 3-4 ศพ ไม่ได้ไปมองระยะใกล้เลยไม่ค่อยสยองเท่าไหร่ เห็นเป็นแค่กองๆไม้สุมไฟ คนทำพิธีจะใส่ชุดขาวถือไม้อันใหญ่ สำหรับเขี่ยกองขี้เถ้า โดยปกติก็จะเป็นลูกชายของผู้ตาย พวกนี้ต้องเข้าพิธีกันเป็นอาทิตย์เลย เขี่ยไปเขี่ยมาก็เขี่ยลงน้ำมั่ง ดังตูม พวกเราก็มองตามลงไปในน้ำกันใหญ่ นั่นไม้หรือขา! นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มคนที่เอาผ้ามาปูนั่งตรงแท่นที่ยื่นไปตรงน้ำกัน พวกนี้นี่มาระลึกถึงผู้ตาย ประมาณงานเชงเม้งบ้านเรา (ท่าเผาศพเหมือนท่าเผาขยะมากๆอ่ะ ..ไม่บอกไม่รู้ว่ากำลังเผาศพอยู่)
กำลังเผาศพกันอยู่พอดี
(โปรดสังเกตความสูงของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เท่าข้อเท้าวัว?)
แม่น้ำถูกแบ่งฝากด้วยสะพานที่จะข้ามไปที่วัด ด้านปลายน้ำจะเป็นที่สำหรับคนธรรมดามาทำพิธี ส่วนต้นน้ำสำหรับชนชั้นสูงและกษัตริย์ ไกด์ชี้ไปที่แท่นเล็กๆเรียบๆแท่นนึงด้านต้นน้ำ มีหมาตัวนึงนอนอาบแดดอยู่อย่างสบายใจ “ตรงนั้นเป็นที่เผาศพของกษัตริย์” – –‘ นอกจากแท่นทำพิธีแล้ว ด้านหลังก็จะมีห้องเล็กๆเรียงรายเต็มไปหมด สำหรับให้คนป่วย/แก่มารอความตาย ตายเสร็จก็ยกมาทำพิธีตรงนี้เลย ใกล้ๆ (รู้สึกจะเคยมีรายการพวกมิติพิศวงมาถ่ายตรงนี้นะ)
สะพานแบ่งชนชั้น
ยืนปลงสังขารกันซักพักก็หันกลับไปเดินอีกด้านนึงของวัด รอบๆวัดมีศิวะลึงค์บนฐานโยนีวางเรียงรายเต็มไปหมด วัดนี้เป็นวัดที่บูชาพระศิวะนั่นเอง ตามหลักศาสนาฮินดูเนี่ย มีพระเจ้าที่สำคัญๆ 3 องค์ด้วยกัน พระพรหมณ์-ผู้สร้าง พระวิษณุ-ผู้รักษา พระศิวะ-ผู้ทำลาย ที่เนปาลนี่จะนับถือพระศิวะกันเป็นส่วนใหญ่ จุดสังเกตอีกอย่างว่าเป็นวัดของพระศิวะ คือจะมีรูปปั้นวัว (โค นน-ทิ) ซึ่งเป็นพาหนะของพระศิวะอยู่หน้าวัด วัวที่นี่จึงถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครกินกัน (แต่ยังเห็นมีป้าย beef steak ในย่านนักท่องเที่ยวเหมือนกันนะ) จะเห็นวัวเดินไปทั่วถนนทุกหนทุกแห่งทั้งนอกเมืองในเมือง พร้อมทั้งทิ้งหลักฐานที่มีทั้งแบบสดใหม่ยังคงรูปอยู่ หรือแบบแห้งๆผ่านไปหลายฝีเท้าแล้วตามท้องถนน
ศิวะลึงค์และฐานโยนี
ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดของชายและหญิง
เด็กๆแถวนั้นมาเดินตาม เดียร์ใจดีเลยแกะตุ๊กตาลิงให้ไปตัวนึง
แล้วก็มีเด็กวิ่งมาอีกเพียบบ....แต่แบบว่ามีตุ๊กตาตัวเดียว ไม่มีขนมด้วย ...วันหลังๆเลยซื้อขนมติดไว้แจก
เดินลึกเข้าไปด้านในก็จะเจอ ซาดู หรือโยคี ผู้บำเพ็ญตน มองๆไปก็ไม่เห็นทำอะไร นอกจากนั่งคุยรอนักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปแล้วก็ไถตัง - -‘ ถ่ายรูปกันคนละแชะสองแชะแล้วก็เดินกลับออกมา ไม่มีตกลงมีใครให้ตังไปเปล่า
วันนี้ไม่รู้ยังเช้าอยู่หรือไม่เหตุการณ์ไม่สงบ เลยแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย กลุ่มเราเลยเป็นที่เพ่งเล็งของบรรดาคนขายของทั้งหลาย เดินตามกันตั้งแต่ขาเข้าต้นซอยยันท้ายซอย แล้วก็มาตามต่อจากท้ายซอยกลับไปปากซอย สร้อยคอ สร้อยข้อมือหินสีทั้งหลาย กำไลข้อมือเงิน (ไม่รู้ซะแล้วว่าบ้านเราทำอะไร) ถุงผ้าลายจีนๆ (ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมมาขายที่นี่) รถบัสที่จะมารับก็ช๊าช้า เค้าจะ curfew กันอยู่แล้ว พวกคนขายก็ต๊ามตาม จนมีคนซื้อของไปจนได้
ซาดู / โยคี
สังเกตว่าตามตัวเค้าจะทาขี้เถ้าสีๆ ...เป็นความเชื่ออะไรซักอย่างของเค้าอ่ะ
รุมถ่ายซาดูกันใหญ่
กลับมากินข้าวกลางวันที่โรงแรมอีกมื้อเพราะcurfew ร้านปิดกันหมด มื้อนี้มี 2 อย่าง ข้าวผัดแกง คล้ายๆข้าวหมกไก่ ไก่แห้งๆ ข้าวแห้งๆ แห้งไปหมด แล้วก็บะหมี่ไก่ ไม่ค่อยจะมีรสชาติ แต่มีแม๊กกี้ของไทยมาเพิ่มรสชาติได้ ถึงจะงั้นก็เถอะก็ยังกินได้อยู่ดี ทริปนี้เราดันกินได้เกือบทุกมื้อ อุตส่าห์แบกเสบียงมาซะเพียบ อ้อ..อีกอย่างทริปนี้นี่ชิวกันจัด เหมือนทุกคนทำใจแล้วว่าคงไม่ได้เป็นไปตามแผน เลยเอาไงก็เอางั้นไม่มีใครหงุดหงิดโวยวายอะไร อาหารเช้าก็รอกันครึ่งชั่วโมง มื้อเที่ยงนี่บอก 15 นาทีก็ปาไปชั่วโมงนึงกว่าจะได้ แต่เอาเถอะ ไม่รีบ ไม่รีบ กินข้าวเสร็จก็ออกไปนั่งคุยกันตรงที่นั่งเล่นหน้าตึกโรงแรม เป็นลานเล็กๆมีโต๊ะเก้าอี้พลาสติกตั้งอยู่ในร่มไม้ อากาศเย็นสบาย นกร้องจิ๊บๆ มีแมวแม่ลูกเล่นกันไปมาใกล้ๆ บรรยากาศดีเชียวถ้าไม่เหลือบไปเห็นว่าประตูรั้วโรงแรมปิดขังเราอยู่ คนในทริปก็ดีนะ ว่างๆก็มานั่งคุย นั่งเล่นไพ่กัน เพลินไปอีกแบบ
ที่นั่งเล่นหน้าตึกโรงแรม
บ่ายๆชักง่วงเลยแวบขึ้นไปนอนบนห้องซะชั่วโมง (มีทัวร์ไหนเค้าจัดนอนกลางวันแบบนี้มั่ง!) 4 โมงครึ่งนัดกันมาวางแผนเที่ยวกัน โปรแกรมวันพรุ่งนี้ที่ต้องนั่งรถบัสชมวิว(สวยมาก ได้ข่าว) 6-7 ชั่วโมง กลายเป็นว่ามีคนประท้วงปิดถนนอยู่ตลอดทาง เพื่อความสะดวกและปลอดภัยเลยต้องเปลี่ยนเป็นนั่งเครื่องบินไปแทน ต้องจ่ายตังเพิ่มกันอีกหน่อย (45 USD) และเนื่องจากประหยัดเวลาไปได้หลายชั่วโมง (บินไปครึ่งชม.เอง) เครื่องออกตอนบ่ายดังนั้นตอนเช้าเราก็จะได้ไปตามเก็บที่เที่ยวในกาฐมาณฑุต่อ (ถ้าไม่ได้มี curfewแต่เช้าและถ้ามันเปิดนะ)
ตกลงกันเสร็จสรรพก็ตั้งขบวนเดินไปจัตุรัสดะระบาร์แห่งกาฐมาณฑุกัน เดินไปไม่ยากนะ แบบตรงๆไปเกือบตลอด แต่ผู้คนมากมายซะเหลือเกิน ถนนก็แคบ แค่รถดันเดียววิ่งผ่านได้หลวมๆ แต่คนเยอะ มีของขายตามพื้น มอเตอร์ไซด์ จักรยาน สามล้อ วิ่งกันวุ่นไปหมด ยิ่งตอนขากลับเริ่มเย็นลงคนยิ่งเยอะใหญ่ (ในไดอารี่เขียนแค่ขาไปแล้วก็กลับ ไม่ได้บรรยายดะระบาร์อะไรเลย - -‘ เดี๋ยวหาเติมให้)
บรรยากาศวุ่นวายมากๆ ถนนเป็นประมาณว่าทำไม่เสร็จดี ทางขรุขระๆๆ รถก็วิ่งกันจั๊ง.... ปิ๊นๆๆๆๆ ตลอดเวลา ...ดูบ้าก็เดินโคตรเร็ว ...เดินตามแล้วเหนื๊อย เหนื่อย
ผู้คนชอบมายืนกันตรงหน้าต่าง
แถมอัธยาศัยดี ยิ้มให้ถ่ายรูปด้วย
อันนี้อะไรไม่รู้ เดินเจอระหว่างทาง
เย็นๆมีคนมาขายของข้างถนนเยอะไปหมด
มีแขก จะไม่มีถั่วได้ยังไง
โอเค .. เปิดหนังสือมาแล้วได้ความว่า ตรงกาฐมาณฑุเนี่ยอยู่ในหุบเขา (มิน่า เครื่องบินลงย๊ากยาก) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Kathmandu Valley มีความเชื่อโบราณว่าแต่ก่อนตรงนี้เป็นทะเลสาบ ต่อมามีเทพเจ้าองค์นึงใช้ดาบฟันเข้าตรงภูเขา ทำให้เกิดเป็นทางน้ำระบายน้ำออกจากหุบเขาแห่งนี้ แล้วเลยกลายเป็นพื้นที่ให้ผู้คนมาอยู่อาศัยจนถึงปัจจุบัน
ผ่านมานานแสนนาน(อันนี้ประวัติศาสตร์ละ ไม่ใช่เรื่องเล่า)ก็มีราชวงศ์มัลละขึ้นปกครองหุบเขานี้ ช่วงราชวงศ์มัลละนี่ถือเป็นยุคทองทางศิลปวัฒนธรรมของเนปาลเลย กษัตริย์องค์หนึ่งในราชวงศ์ก็แบ่งหุบเขาแห่งนี้ออกเป็นเมือง 3 เมืองให้ลูก 3 คนปกครอง ได้แก่ เมืองกาฐมาณฑุ, เมืองปาตัน และเมืองบัคตาปูร์ แต่ละเมืองก็จะมีจตุรัสของตัวเองแล้วก็แข่งกันสร้างให้ยิ่งใหญ่สวยงาม
ที่จตุรัสดาระบาร์
(รูปนี้เหมือนตัดเดียร์มาแปะเลยแฮะ)
ที่ที่วันนี้เรามากันก็คือจัตุรัสดะระบาร์ของเมืองกาฐมาณฑุนี่เอง ที่นี่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกอีกที่นึงในเนปาล ตรงกลางจัตุรัสแห่งนี้จะมีพระราชวังเก่าสีขาวสะอาดตา หน้าประตู (ประตูทางเข้าไม่อลังเลยแฮะ)มีรูปปั้นหนุมาน(ไม่บอกไม่รู้อีกเหมือนกัน)ไว้คอยปกป้องพระราชวัง พระราชวังนี้เลยมีชื่อว่า Hanuman Dhoka royal palace
แดงๆนั่นอ่ะ หนุมาน เหมือนเค้าเอาไรมาแปะเต็มไปหมดไม่รู้ เลยเห็นเป็นแค่ก้อนๆ
เห็นประตูสีฟ้ามะ นั่นแหละประตูทางเข้าวัง
อาคารรอบๆที่สำคัญๆก็ยังมี Kasthamandap (ภาษาสันศฤตแปลว่า parvilion of wood) เป็นอาคารไม้เก่าแก่ของเมืองและเป็นที่มาของชื่อเมืองกาฐมาณฑุ อันนี้ไม่ทันสังเกตแฮะ เพิ่งอ่านเจอในหนังสือ และก็มีวิหารกุมารีที่ได้เข้าไปถ่ายรูปกัน แต่ไม่ได้เจอกุมารีเพราะเลยเวลาปรากฏตัวแล้ว
มารู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของกุมารีกันซักหน่อย ... ที่นี่เค้าเชื่อกันว่ากุมารีเป็นเทพเจ้าในร่างคน แต่ละเมืองจะมีกุมารี 1 คน แต่ว่าของที่นี่จะเป็นกุมารีคนที่สำคัญที่สุด ...ด้วยความที่เค้าเชื่อกันว่ากุมารีเป็นเทพเจ้า ก็เลยจะบูชา แล้วก็ให้ความเคารพอย่างมาก แม้แต่กษัตริย์ก็ต้องเคารพด้วย
การคัดเลือกกุมารีจะคัดจากเด็กผู้หญิงที่เกิดในตระกูลช่างทองอายุไม่มากอ่ะ เด็กๆก็มาทดสอบได้ ซึ่งการทดสอบก็มีหลายด่าน เช่น ให้เลือกชุดของกุมารีองค์ก่อน เลือกถูกก็จะเข้ารอบ แล้วก็ต้องมีตอบคำถาม ซึ่งเค้าก็จะดูว่าเด็กไม่กลัวคน กล้าสบตา แล้วที่สำคัญ เค้าจะเอาเด็กไปอยู่ในห้องมืดๆแคบๆคนเดียว กับหัววัวที่เพิ่งเชือดมา ถ้าอยู่ได้ ก็ถือว่าผ่านการทดสอบ
เมื่อเด็กได้รับเลือกเป็นกุมารีแล้ว ก็จะต้องเข้ามาอยู่ในวิหารนี้ ..เค้าสามารถมองเห็นคนที่เข้ามาในวิหารได้จากรูในห้องของเค้า แต่ออกไปไหนไม่ได้เลย !!! จะมีคุณครูมาสอนหนังสือให้ แล้วคนที่สามารถเข้ามาคุยกะเค้าข้างในได้ก็เป็นแค่พี่น้องผู้หญิงเท่านั้น แต่ละวัน เวลามีคนมากราบไหว้บูชา เค้าทำได้แค่โผล่หน้าออกไปทางหน้าต่าง (เหมือนจะพูดอะไรไม่ได้ด้วย) แล้วจะได้ออกไปนอกวิหารจริงๆ คือวันที่มีพิธีของเมือง ซึ่งเค้าจะต้องออกไปให้คนกราบไหว้บูชา โดยการออกไปนี่ก็จะมีคนอุ้มตลอด เพราะเท้าเค้าแตะพื้นไม่ได้ด้วย
ในวิหารกุมารี พื้นจะต้องปูด้วยพรม แล้วของมีคมทุกชนิดต้องไว้ให้ไกลมือ เพราะเมื่อไหร่ที่มีเลือดออกจากตัวกุมารีปุ๊บ เค้าต้องพ้นสถาพจากการเป็นกุมารีทันที ... พอพ้นสภาพไปแล้ว ...ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวทั่วไป ไม่มีใครมากราบไหว้บูชาเหมือนเคย ...
เคยดูสัมภาษณ์เด็กที่เคยเป็นกุมารีมาก่อน เค้าก็บอกว่าไม่แน่ใจว่าเป็นโชคดี หรือโชคร้าย เพราะพอเค้าพ้นสภาพออกมา เหมือนชีวิตเค้าเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง แล้วจริงๆคนที่เป็นกุมารีโอกาสจะมีครอบครัวก็ยาก เพราะผู้ชายจะค่อนข้างกลัวมากกว่า ดีไม่ดี การเป็นเด็กสาวธรรมดามาตั้งกะต้น อาจจะดีกว่าก็ได้
ทางเข้าวิหารกุมารี
ภายในวิหาร
หน้าต่างทางขวามือชั้นบนสุดคือที่ๆกุมารีจะโผล่มาทักทายผู้คน
คนเยอะมาก
ขากลับก็เดินกลับทางเดิม ยิ่งเย็นคนยิ่งเยอะ เดินกันแน่นถนนไปหมด แอบเหลือบไปเห็นร้านไอติมหน้าตาดูดีร้านนึงเลยแวะเข้าไปต่อคิวซื้อมาแบ่งกันกิน โคนนึงมี 2 ลูก (40 รูปี) ซื้อรส Butter scotch กับ Nutty Nutsมาลองดู คำแรกๆก็อร่อยดีแย่งกันกิน กินไปกันมาชักเลี่ยนๆ พอดี๊พอดีมีเด็กหน้าตาบ้องแบ๊วมาสะกิดแล้วชี้ที่ไอติมพร้อมส่งสายตาเว้าวอนมาให้
“ไอ้เดียร์ เด็กมาขอไอติมว่ะ ให้เด็กนะ”
“เออ”....ด้วยความเต็มใจ เด็กก็รับไอติมจากเราไปด้วยหน้าตามีความสุข
ตึกมาตรฐานในกาฐมาณฑุ
มื้อเย็นไปกินข้าวที่ร้าน McDonal ใกล้ๆโรงแรม โผล่หน้าเข้าไปในร้านไม่กี่นาทีไฟก็ดับหมดทั้งถนน คนในร้านเลยจุดเทียนมาให้แก้ขัดไปก่อน ระหว่างนั้นก็ไปยกถังแก๊สในครัวพร้อมตะเกียงมาต่อแล้วก็ยกวางขึ้นบนโต๊ะ สว่างทั้งร้านเลย สรุปว่าเย็นวันนี้คนทั้งร้านได้ดินเนอร์กันใต้แสงไฟจากถังแก๊สที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารเรานี่เอง (อย่าระเบิดน้า ขอร้อง)
dinner ข้างถังแก๊ส
(แต่ตอนนี้ไฟเพิ่งดับสดๆร้อนๆ ถังแก็สยัง set up ไม่เสร็จ)
เมนูอาหารมื้อนี้ได้แก่ โมโม่ ของกินขึ้นชื่อของที่นี่ หน้าตาเหมือนเสี่ยวหลงเปามาก จิ้มกินกับซอสเครื่องเทศ จานที่สองเป็นไก่ย่างสีแดงๆดำๆ(เพราะไหม้)เรียกว่า Tandoori อร่อยดี แต่เค็มมากไปหน่อย แล้วก็มีนาน(แผ่นแป้งอบ)เหนียวนุ่มจิ้มกินกับแกงกะหรี่ (เราชอบจานนี้สุดเลย) ตบท้ายด้วยบะหมี่น้ำหน้าตาจืดๆ
กินเสร็จก็ออกช้อปปิ้งกันย่าน thamel ที่เราพักอยู่ เดินไปตามทางที่ไกด์ให้แผนที่มา ถนนหน้าโรงแรมเรานี่ส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึกซะเยอะ แต่อีกเส้นนี่มีร้านอาหาร/ผับฮิปๆเยอะอยู่ มีร้านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่หลายร้าน เลยได้ซื้อหนังสือที่ต้องการเป็นของฝากเรียบร้อย (ซื้อก่อน กลัววันหลังโดนเคอฟิวจะไม่ได้ซื้อ)
กลับถึงห้องก็รีบอาบน้ำสระผมกันให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะได้ไปไหนยังไงมั่งก็ไม่รู้
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home