= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันพุธ, เมษายน 12, 2549

Nepal 3: ตามรอย curfew ไปโพครา !!!

วันนี้ไม่ประกาศ curfew ....เย้ๆๆๆๆ
(แต่ท่าทางจะน่ากลัวกว่า เพราะว่าผู้ประท้วงสามารถมาชุมนุมกันได้สะดวกขึ้น)

วันนี้จริงๆแล้วเราต้องออกเดินทางทางรถไปโพครา (Pokhara) แต่เช้า แต่เนื่องจากระหว่างทางมีความเสี่ยงกะการเจอขบวนประท้วงหัวรุนแรงสูง เพราะตอนนี้คิง (ที่เค้าจะล้มล้างกัน) เค้าไปประทับที่วังที่โพครา เลยมีขบวนประท้วงอยู่ระหว่างทางที่เราจะไปด้วย แถมวันนี้โพครามี curfew อีก..เอ่อ...(--')

ทางเดียวที่จะไปโพคราได้ (ซึ่งไม่ไปไม่ได้ เพราะไฮไลท์ของเที่ยวครั้งนี้อยู่ที่นั่น) ก็ต้องนั่งเครื่องไป ต้องเสียตังค์เพิ่มเล็กน้อย ซึ่งก็โชคดีที่ไม่มีใครโวยวาย ..กำหนดการใหม่เลยให้เที่ยวที่กาฐมัณฑุตอนครึ่งเช้า แล้วบ่ายขึ้นเครื่องไปโพครา แล้วเที่ยวทะเลสาปตามกำหนดการดั้งเดิมปกติ

ตอนแรกดูบ้าจะพาไปสวยัมภูวนาถ หรือวัดลิง ดูดวงตาเห็นธรรมก่อน แต่รู้สึกว่าพวกผู้ประท้วงจะรวมตัวแถวๆนั้น แล้วอีกอย่าง..ตรงนั้นมันค่อนข้างไกลจากโรงแรม เกิดเค้าประกาศ curfew ขึ้นมาแล้วพาเดินทางกลับไม่ทัน แล้วจะซวยเอา ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนไปจัตุรัสปาตันกันแทน




ที่เที่ยวที่เนปาลนี่อยู่ในซอกซอยโคตรๆ แบบว่าจากที่จอดรถแล้วต้องเดินผ่านชุมชน(ที่ฝุ่นตลบสุดๆ) โคตรไกลกว่าจะถึงที่เที่ยว ไปถึงก็มัวแต่ลั้ลลาถ่ายรูป ไม่ค่อยได้ฟังไกด์บรรยายเท่าไหร่ (^^')



จัตุรัสปาตันดูร์บาร์ (Patan Durbar Square) ที่นี่เป็นสถานที่ที่สร้างถวายพระกฤษณะที่เค้าว่ากันว่าเป็น God of the Lady (คาดว่าเป็นอวตารปางนึงของพระนารายณ์) ถือว่าเป็นมรดกโลกอีกที่นึงในกาฐมัณฑุด้วย จากทางเดินที่เข้าไปเนี่ย จะแยกออกเป็น 2 ด้านหลักๆ ทางขวามือเป็นพระราชวังซึ่งเป็นของเก่าที่สร้างมาแต่โบราณ ทางซ้ายมือจะเป็นวัดที่สร้างเพื่อบูชาพระกฤษณะซึ่งส่วนมากจะเป็นการบูรณะ หรือว่าสร้างใหม่



ขวามือ (ส่วนนึง) เป็นสุสานของกษัตริย์ ซึ่งปกติก็เปิดให้คนเข้าไปดู แต่ว่าวันนี้ทำไมปิดไม่รู้ (Y_Y) ทางซ้ายมือเป็นลานกว้างสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีสิ่งก่อสร้างประปราย (ซึ่งไม่รู้ว่ามีความหมายอะไรบ้าง)




เดินเข้าไปอีกหน่อย พอพ้นจากเขตวังไปแล้วทางขวามือจะมีลานกว้างอีกลานนึงที่มีบ่อน้ำซึ่งเค้าบอกว่าต่อท่อมาจากภูเขา เพื่อเอาน้ำมาจากเทือกเขาหิมาลัยให้คนเอาไปใช้ดื่ม กิน อาบ ฯลฯ ได้ ...ชาวบ้านก็จะเอาภาชนะใส่น้ำมารองน้ำไปใช้ สถานที่ดูแอบขลังนิดนึง แต่มันดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ กะรอบๆเหมือนจะเป็นกึ่งตลาดสดเลยลดดีกรีความขลังไปเยอะอยู่

ปล. เคยดูสารคดีที่ไปถ่ายทำกันที่ชานเมืองกาฐมัณฑุ เค้าบอกว่าน้ำทุกหยดของเมืองนั้นเป็นน้ำแร่ที่มาจากเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งถือว่าเป็นน้ำที่มีประโยชน์กว่าน้ำประปาทั่วไป











ชาวบ้านมารองน้ำกัน





เด็กน้อยเดินตามต้อยๆ
พี่ไม่มีขนมจะให้หรอกนะน้อง


แม่ค้าขายพวงมาลัยข้างถนน





น้ำนองถนนอย่างงี้ พี่แกก็ยังวางขายผักได้
เชื่อเค้าเลยจริงๆ


เดินเที่ยวจัตุรัสเสร็จก็เดินต่อไปที่วัดทอง (Golden Temple)...ที่นี่นี่จริงๆมีสถานที่เที่ยวเยอะมากนะ แบบว่าแต่ละที่ก็ดูสถาปัตยกรรมละเอียด สวย ดูน่ารักษามากๆ แต่บ้านเมืองเค้าไม่ค่อยจะรักษาเลยแฮะ แบบว่าวัดทองเนี่ย ประมาณว่าเดินๆอยู่ในซอยเงียบๆแล้วถ้าไม่มีใครมายืนบอกว่าตรงนี้เป็นวัด เป็นที่ท่องเที่ยวนี่อาจจะเดินผ่านไปได้ ..ทางเข้าประมาณตึกแถวบ้านเราเลยอ่ะ มีรูปปั้นข้างหน้าเล็กน้อย ..พอรู้ว่าเป็นวัดแหละ แต่ไม่รู้ว่าดัง




ประตูบ้านสีสันสดใส


ทางเข้าวัดทอง ท่ามกลางห้องแถว


วัดนี้เป็นวัดของศาสนาพุทธแล้วได้รับอิทธิพลมาจากจีน ธิเบตหน่อยๆ เพราะว่ามีระฆังธิเบตที่เอาไว้หมุนแทนการสวดมนต์ด้วย หลังคาทำด้วยแผ่นทองคำยาวเป็นเส้นลงมา เชื่อว่าเป็นทางเดินไปสู่สวรรค์




ทางเข้าวัดดูเหมือนตึกแถวมากๆ แต่พอเข้าไปข้างในก็ขยายออก รอบๆจะมีระฆังธิเบตให้ไปหมุน แล้วมีระฆังใหญ่ให้เคาะ ตรงกลางมีซุ้มที่มีพระหลายองค์ตั้งอยู่ รวมถึงพระประจำเดือนเกิดด้วย ..นับแล้วจะได้ 12 องค์พอดี ...ใครเกิดเดือนไหนส่วนมากก็จะไปไหว้เดือนนั้นแหละ




ด้านหลังเข้าไปรู้สึกว่าจะมีพระสงฆ์อยู่ด้วย ไม่แน่ใจว่าถ้าพระออกมาเราต้องหลบทางรึเปล่า เพราะมีอยู่ทีนึง เค้ากันคนไม่ให้เดินไปแถบนึงของวัด บอกว่าใครจะออกมาไม่รู้ เราก็ยืนรอดูอยู่ว่าใครจะออกมา แต่ก็ไม่มีใครออก จนสุดท้ายเค้าบอกว่าไม่มีใครออกมาละ เดินตามปกติได้






อันนี้ไม่รู้อะไร แปลกดีเลยถ่ายซะหน่อย






ยืนเมาท์ ยืนถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย






ไปขอยามถ่ายรูป ยามก็ใจดี๊ใจดี พยายามหมุนวงล้อให้ด้วย
ถึงถ่ายมาไม่เห็นวงล้อหมุน แต่ก็ได้ภาพความใจดี+ตั้งใจของคุณยาม


ตาต่อตา






ประตูสีสวยอีกแล้ว ชอบๆ


เที่ยวเสร็จก็ 10 โมงกว่าๆเองมั้งแต่ไปเที่ยวที่อื่นต่อไม่ได้แล้ว เพราะจะไม่ทัน ก็เลยเดินกลับมารอรถทัวร์ตรงตำแหน่งเดิมที่เค้าปล่อยลง แล้วก็กลับไปกินข้าวเที่ยงที่โรงแรม รอเวลาไปขึ้นเครื่องไปโพครา (ระหว่างทางมีเวลา shopping เล็กน้อย ตอนนี้ใครอยากได้อะไรที่กาฐมัณฑุต้องรีบซื้อก่อน เพราะไม่แน่ว่าวันที่กลับมาจะมีร้านไหนเปิดขายให้รึเปล่า)

ซักบ่ายโมงกว่าๆก็ออกเดินทางไปสนามบิน ทิ้งเบอร์เกอร์เน่าที่ไอ้อิ๋วอุตส่าห์แบกมาจากเมืองไทยแล้วไม่ได้กินเอาไว้ให้โรงแรมดูต่างหน้า 555 ..ระหว่างเดินออกไปมีตำรวจเดินสวนไปกลุ่มใหญ่ ..ระยะประชิดมาก ตื่นเต้นๆๆ ... จะเดินข้ามถนนไปจุดรอรถทัวร์ เพื่อนบ้าดันตะโกนเรียกตอนอยู่กลางถนน เลยเกือบโดนรถชนที่เนปาล (--')

นั่งรอบนรถตั้งน๊าน นาน พี่อีกกลุ่มนึงไม่มาซักที พอเค้าขึ้นรถมาได้ คณะทัวร์ก็ได้ฟังเหตุการณ์ระทึกอีก 1 เรื่อง ...ประมาณว่าพี่เค้าเดินๆอยู่ดีๆ ก็มีคนวิ่งสวนมากลุ่มใหญ่ แล้วร้านค้าก็รีบปิดร้าน ตอนนั้นมันก็อารมณ์ว่าตกใจทำไรไม่ถูก เห็นเค้าหลบกันเลยวิ่งเข้าไปขอหลบในร้านกะเค้าด้วย (ร้านที่นั่นเล็กมากๆ เข้าไปนี่ไปเบียดกันชัวร์ๆ) คนหลบก็รีบ เจ้าของร้านก็รีบ ปิดประตูไม่ดูคนมาโขกหัวพี่คนนึง (แต่ก็ไม่ได้ว่าไรนะ เข้าใจ..เหอๆๆ) พอรู้ตัวว่าปลอดภัยก็ขำกันใหญ่ มองออกมาข้างนอกก็เห็นตำรวจมาทำไรไม่รู้เอยะแยะ แตกตื่นอยู่พักนึง รอเหตุการณ์สงบแล้วค่อยออกมา ..เหอๆๆๆ...ระทึกขวัญมะ ?? แต่แบบว่าคนเล่านี่เล่าไปหัวเราะไป ขำสุดๆ ....ไอ้เราก็แอบอิจฉา อยากเจอมั่ง 555
เอิ่ม..เดี๋ยวประเทศไหนมีประท้วงชั้นจะหาทัวร์ให้แกไปอีกดีมะ - -'

มาถึงสนามบินที่สภาพหมอชิตยังดีกว่า ไกด์บอกว่าเครื่องบินมีแต่ลำเล็กต้องแบ่งกันขึ้น 2 ลำ เอากระเป๋าไปเรียงกันที่แถวของสายการบินเยติ ...ระหว่างรอโหลดกระเป๋าก็เหลือบไปเห็นสัญลักษณ์สายการบินเป็นรูปตีน (ไม่ผิดแน่ๆ ถามมาแล้ว) ...เหอๆๆ ...

สายการบินที่นี่มีต้องแยกตรวจเป็นประตูชาย ประตูหญิงด้วยอ่ะ แล้วแบบว่าตรวจกันละเอี๊ยด ละเอียด ลูบได้รุนแรงจริงๆ กระเป๋าก็แทบจะเทออกมาค้นเลยมั้ง แค่สายการบินในประเทศเองนะเนี่ย!!!!
แถมถ้าค้นเจอขนมเยอะๆมีการขอขนมด้วยอ่ะ ทีแรกพี่คนนึงโดนไถท๊อฟฟี่ที่แบกมาจากเมืองไทย ก็ยังโอเคนะแบบของต่างชาติอาจจะไม่เคยกิน แต่ตอนหลังมีน้องอีกคนโดนไถมาม่าเนปาลนี่น้องแกจะซื้อกลับเมืองไทยเนี่ย ถุงละ5บาทก็ยังเอา





ทางออกไปขึ้นเครื่อง


เครื่องบินลำเล็กมากๆๆ ถ้าแขนยาวๆหน่อยกางแขนนี่แตะหน้าต่าง 2 ฟากได้เลย คนนั่งหน้าสุดก็สามารถยื่นมือไปตบไหล่กัปตันได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่สามารถลุกไปไหนได้เพราะเตี้ย + แคบสุดๆ เครื่องบินก็บินเตี้ยมากๆ เห็นพื้นดินไปตลอดทาง (ตอนหลังดูอยู่ข้างนอก เครื่องบินบินสูงแค่ 1/2 ของภูเขาหิมาลัยเองอ่ะ)

นั่งไปแปปนึงก็มีลูกเรือเอาขนมมาแจก พร้อมกะสำลีให้เอาไว้อุดหู ไม่แน่ใจว่าทำไมเหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าไม่กันหูอื้อ ก้กันเสียงเครื่องยนต์ที่ดังมากๆ ก็เลยอุดหูตามที่เค้าบอก ไปๆมาๆชักอึดอัด แล้วเลยเริ่มเมา เลยเอาสำลีออก ก็ไม่เห็นจะรู้สึกว่าหูจะอื้อตรงไหน เลยไม่ได้อุดต่อ แต่เมาไปแล้ว หันไปบอกอิ๋วว่าเมา อิ๋วก็ยังดูลั้ลลาไม่เป็นไร ยังเอายาดมมาให้ กะเอากระดาษมาพัดๆให้หน่อยเลย แต่พอเครื่องลง เราอาการดีขึ้น ลงมาจากเครื่องกะจะถ่ายรูปคู่กะเครื่องซะหน่อย หาอิ๋วไม่เจอ ...สุดท้าย มันไปอ้วกอยู่ข้างสนามบินเรียบร้อย ...เหอๆๆ เมาเหมือนกันนี่หว่า
เป็นการนั่งเครื่องบินที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเลยนะเนี่ย แรกๆก็แค่รู้สึกว่ามันเล็กจัง แต่หลังๆพอวูบบ่อยๆนี่เราเกาะเก้าอี้แน่นเลย มาเจอประท้วงนี่ไม่รู้สึกอะไรนะ แต่กลัวเอาชีวิตมาทิ้งไว้กะเครื่องบินในประเทศเนี่ยแหละ อากาศบนเครื่องก็เหมือนจะไม่ถ่ายเท ช่องแอร์เล็กๆก็แทบจะไม่มีลมออกมา แถมพอล้อแตะพื้นนี้ก็ไม่มีอากาศออกมาเลย เพิ่งจะมาเมาตอนลงเนี่ยแหละ




หยิบกันคนละไม้ละมือ






เครื่องบินมันบินสูงแค่เนี้ย


อุดหูด้วยสำลีที่แจกมา






ประตูทางออกฉุกเฉินตรงที่นั่งเราพอดี


ตอนแรกนึกว่าอาการดีขึ้น นั่งพักซะหน่อยคงหาย ใจนึงอยากไปเข้าห้องน้ำอ้วก ...แต่แบบว่าแค่เดินผ่านหน้าห้องน้ำก็สามารถอ้วกได้ละ ..กลิ่นสุดๆ ยิ่งกว่าเมืองจีนอีก ...แหวะๆๆๆ สุดท้ายมันก็มานั่งพะอืดพะอมอยู่ที่บันไดสนามบิน(สนามบินไม่มีที่นั่งเลยต้องมานั่งกันตรงบันได) ระหว่างรอคนอีกครึ่งทัวร์ที่จะบินมารอบถัดไป เราก็จัดแจงเตรียมถุงอ้วกพร้อมไปลูบหลังให้ไอ้เดียร์เรียบร้อย (เรื่องตัวเองอ้วกล่ะไม่เขียน)





จากสนามบินก็นั่งรถ (ที่ขับซิ่งมาก) มาแถวๆทะเลสาปเฟวา ระหว่างทางก็คนน้อยมากๆ กะไม่มีรถคันอื่นเลย เพราะว่า curfew อยู่ ที่พักก็แถวๆนั้นแหละ ...คราวนี้ได้พักตั้งชั้น 4 ต้องแบกกระเป๋าหนั๊ก หนัก (Y_Y) แต่ขึ้นไปแล้ววิวสวย ..อภัยได้ๆๆ





ห้องนอน


วิวจากห้องนอน

ทัวร์บอกว่าเดี๋ยวเก็บกระเป๋าแล้วไปล่องเรือรอบทะเลสาปไปวัด ไอ้เราก็นึกภาพประมาณล่องเรือแบบเมืองจีน เรือลำใหญ่นิดนึง คงนั่งเรือไปซัก 15-30 นาทีถึงวัด ...เดินไปถึงทะเลสาปเห็นเรือพายจอดอยู่ทั้งแถบ กะเกาะกลางน้ำห่างไปซัก 100 เมตรได้ (คิดว่าว่ายน้ำไปคงถึง)....เอ่อ...รีบควักโปรแกรมทัวร์ขึ้นมาอ่าน เพิ่งสะดุดตากะคำว่า "เรือพาย" ....ทัวร์เค้าก็บอกอ่ะนะ แต่เผอิญงี่เง่า อ่านไม่ครบ ...สุดท้ายก็นั่งเรือพายไป 5 นาที..แล้วก็ถึงจุดหมายปลายทางที่วัดเรียบร้อย


วัดนี้ชื่อ วัดบาฮาหลี เป็นวัดที่สร้างถวายพระวิษณุในร่างที่อวตารลงมาเป็นหมูป่า แล้วชาวบ้านนิยมเอานกพิราบมาถวาย ที่นี่เลยจะนกเยอะเป็นพิเศษ..เอ่อ .. . ไม่สามารถดื่มด่ำกะธรรมชาติท่ามกลางฝูงนกได้ค่ะ เดินๆแล้ววิตกจริต เลยไม่ได้ฟังอะไรเลย แล้วไอ้อิ๋วก็เกิดจะมาเอ็นดูนกตอนเราอยู่ด้วยทำไมก็ไม่รู้ ..เรียกมาอยู่นั่นแหละ ...อุตส่าห์แอบชม(ในใจ)ว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีเอากระดาษมาพัดๆๆๆให้ตอนเพื่อนเมาเครื่องบิน ...หลงผิดจริงๆ 555 เพิ่งรู้หรอ


ถ่ายเขา


ถ่ายคน


ถ่ายนก
(ต้องบรรยายมั๊ยเนี่ย)
>>> ไม่ต้อง!!!


ไอ้ยอดแหลมๆตรงกลางเนี่ยแหละ
ที่พรุ่งนี้พวกเราจะเดินขึ้นไปกัน


เที่ยววัดได้แปปนึง ก็ไปนั่งเรือรอบๆทะเลสาป ..ก็นั่งชมธรรมชาติอ่ะนะ ไม่มีอะไรมาก ทะเลสาปที่นี่เป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่เลย จากทะเลสาปจะมองเห็นยอดมัจฉาปุชเร (Fish tail) ด้วย ..จริงๆแล้วจะมีเทือกเขาอีกเทือกบังอยู่ก่อน เข้าใจว่าเป็นหุบเขาโพครา แล้วถัดจากหุบเขาโพคราไปถึงจะเป็นเทือกเขาหิมาลัยอ่ะ

อันนี้จริงๆไม่ค่อยแน่ใจภูมิประเทศ ..คือเท่าที่ถามมาเนี่ย เมืองโพคราเป็นเมืองที่อยู่ในวงล้อมของหุบเขาโพครา เลยคิดว่ายอดเขา sarangkot ที่เราจะปีนขึ้นไปพรุ่งนี้เนี่ยก็เป็นยอดที่อยู่บนหุบเขาโพคราเนี่ยแหละ แต่จาก sarangkot เราสามารถมองเห็นยอดเขาหางปลา ซึ่งอยู่ในเขตของเทือกเขาอันนะปุระได้ แล้วอันนะปุระก็เป็นส่วนนึงของหิมาลัยนั่นแหละ

ตอนแรกเราสับสนเรื่องที่ตั้งของเทือกเขามาก ประมาณว่าเดี๋ยวก็บอกว่าเป็นอันนะปุระ เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นหิมาลัย แล้วก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีกว่าแล้วเอเวอร์เรสต์เนี่ยมันอยู่ตรงไหน ทำไมพามาดูแต่ fish tail ถามไปถามมาได้ความว่าเทือกเขาหิมาลัยเนี่ยเป็นอะไรที่ยาวมากๆ แล้วก็เลยมีเทือกเขาย่อยๆ กะยอดเขาย่อยเยอะอยู่เอาการ ดูอลังการมากๆ สมมติว่ากาฎมัณฑุอยู่ตรงกลาง เลี้ยวซ้ายมาโพครา จะมองเห็น Fish tail บนเทือกเขาอันนะปุระสูงประมาณเกือบๆ 7 พันเมตร แต่ถ้าไปทางซ้ายที่เมืองนากาก๊อต ก็จะเห็นอีกเทือกนึง ซึ่งจะสามารถมองเห็นเอเวอร์เรสต์(อยู่ลิบๆ) ได้ ....ภูมิประเทศมันก็เป็นฉะนี้แล.....



กลับมาเรื่องทะเลสาปต่อ ...ล่องเรือเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำ นอกจากจะไป shopping แต่ว่าขี้เกียจเดิน เลยนั่งอยู่ริมทะเลสาปรอดูพระอาทิตย์ตกดินไปเรื่อยๆ จนได้เวลาก็เดินไปร้านข้าว (ไกลมากๆๆ ..น่าจะห่างจากโรงแรมซัก 1-2 กิโลได้อ่ะ..เดินกลับมาหิวอีกรอบพอดี) มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารธิเบต มีหม้อไฟที่กินยังไงก็ไม่หมดซะทีเพราะมันอึดมากๆ แต่ลูกชิ้นเค้าอร่อยดีนะ ทีแรกก็เถียงกันใหญ่ว่าลูกชิ้นอะไร คนนึงบอกหมู คนนึงบอกปลา คนนึงบอกเหมือนเต้าหู้ จริงๆแล้วเค้าใส่ไว้มุมละอย่างน่ะ ^^'





นั่งรอพระอาทิตย์ตกดิน


พระอาทิตย์ตกริมทะเลสาบเฟวา


ระหว่างเดินกลับก็เดินดูของไปพลาง ..ที่นี่เสื้อหนาวกะพวกเป้น่าซื้อมากๆๆ แบบว่าราคาย่อมเยา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำไม โอกาสได้ใช้น้อยมากๆๆ แถมเพิ่งซื้อเสื้อหนาวขนเป็ดสีชมพูมาจากเมืองจีนอีก เลยไม่รู้จะซื้อไปทำไม

พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า...เดินไกล๊ ไกล รีบนอนพักเอาแรงดีกว่า ~~~~

<<<<< อ่านตอนที่แล้ว อ่านตอนต่อไป >>>>>