= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันพฤหัสบดี, เมษายน 13, 2549

Nepal 4: แบกเป้ใบขึ้นหลัง รวมพลังเดินขึ้นเขาสรังกอต

วันนี้ที่โพครามีประกาศเคอร์ฟิว ออกจากบ้านได้ แต่ไม่มีรถวิ่ง โปรแกรมวันนี้คือเดินขึ้นเขาสรังกอตแล้วคืนนี้ก็ค้างที่ยอดเขา ปกติแล้วเนี่ยก็จะมีรถมารับเราที่โรงแรมไปส่งที่เชิงเขา จากนั้นก็เดินเท้า 8 กิโลขึ้นเขา เมื่อไม่มีรถเราก็ต้องเดินออกจากโรงแรมไปเชิงเขา (4กิโลเท่านั้นเอง) ด้วยเท้าน้อยๆของพวกเราโดยมีเป้ใส่ของสำหรับนอนคืนนี้สะพายอยู่บนไหล่น้อยๆของเรา (ทีแรกนึกว่ามีลูกหาบนะเนี่ย) รวมทั้งห่อข้าวน้อยพร้อมน้ำขวดสำหรับกินระหว่างทาง

ดูบ้าบอกว่า ให้ค่อยๆเดินขึ้นไปได้ เพราะว่าโปรแกรมวันนี้คือเดินทางอย่างเดียว ขึ้นไปถึงก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดีก็ค่อยๆเดินได้ เหนื่อยก็พัก ดูแลตัวเองกันเป็นพอ

อ้อ ..ลืมบอกว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ของที่นี่แหละ ...เหมือนของไทยเลย ... 13 เมษาเป็นวันสงกรานต์ แต่โบราณนับเป็นวันปีใหม่ !!!


โรงแรมที่เรามาพักกัน

เดินๆไปตามถนนในเมืองก็เริ่มสังเกตเห็นกองขี้เถ้าอยู่ตามถนน ก็ยังคุยๆกันอยู่บ้านเมืองเค้าเผาขยะกันกลางถนนหรอเนี่ย แต่เดินไปเดินมาชักกลางเป็นการเผายางปิดถนนประท้วง บางที่ก็มีก้อนหินมาเรียงๆไว้ เอาลวดหนามมาขดๆไว้มั่ง แล้วก็เจอทหารยืนเป็นกลุ่มๆมั่ง เดินไปอีกหน่อยชักได้ยินเสียงเหมือนคนร้องเพลงกันพร้อมเพรียง นึกว่าร้องเพลงชาติกันตอนเช้า ที่ไหนได้พอตอนเดินข้ามสี่แยกไป หันไปทางขวาต้นเสียง เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เดินถือธงแดงหรามุ่งหน้ามาทางเราพอดี ในคณะนี่ก็มีคนควักกล้องออกมาถ่ายกันอีก ดูบ้าตะโกนโบกมือเรียกให้เดินข้ามไปเร็วๆใหญ่ คงกลุ้มใจที่ไอ้ทัวร์กรุ๊ปนี้นี่เห็นคนประท้วงเป็นเรื่องสนุกสนานซะจริงๆ

เดินไปร้อนเล็กน้อย ..แดดแรงเหมือนกัน ไม่มีที่ร่มให้พักเลย ...เดินไปซักพักเจอร้านขายน้ำ รีบเดินไปซื้อโค้กกินทันที ..ชื่นใจหน่อย ..พอหายเหนื่อยเดินไปอีกซักไม่เกิน 200 เมตร ก็เจอวัดฮินดูที่เค้าจะแวะให้เราพัก + เที่ยวกันละ



ถนนในโพคราที่ควรจะมีรถวิ่ง

เดินกันจนไปถึงวัดที่อยู่เชิงเขาจนได้ วัดนี้เป็นวัดพระศิวะอีกเช่นเคย ไม่ค่อยได้ตามไปฟังดูบ้าอธิบายเท่าไหร่เพราะมัวแต่นั่งพักได้ร่มไม้ โผล่หน้าไปอีกทีก็ไปยืนกันอยู่ตรงศาลพระพิฆเนศ ดูบ้าเล่าให้ฟังว่าที่พระพิฆเนศมีเศียรเป็นช้างเพราะตอนเด็กๆซนมาก พระศิวะผู้เป็นบิดาโมโหเลยตัดคอทิ้ง แม่ของพระพิฆเนศ (คือพระนางปาวารตี(บรรพตี) )เสียใจมาก ร้องไห้ไม่หยุด พระศิวะเลยไปหาหัวช้างมาต่อให้แทน (ประมาณนี้มั๊ง ให้เดียร์มาเติมละกัน)

อืม...เหมือนวันนั้นดูบ้าก็เล่าประมาณแค่นี้นะ ...แต่เนื่องจากเดียร์น้อยเป็นผู้รอบรู้ 555 ก็สามารถเล่าต่อได้ ...ตามตำนานพระพิฆเนศวร (หรือเรียกสั้นๆว่าพระพิฆเนศ) ที่เราอ่านมามันไม่เชิงเป็นแบบนี้ล่ะ (แต่เป็นธรรมดาของตำนานที่มีหลายสาย) ..เพิ่มเติมก็คือว่า ตอนที่พระศิวะตั้งใจจะต่อหัวกลับให้พระพิฆเนศนั้น เหล่าเทพก็ช่วยกันหาหัวเดิม แต่หายังไงก็ไม่เจอ แล้วพลันไปเจอช้างตัวนึงนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก แล้วเลยตัดสินใจตัดหัวช้างตัวนั้นมาต่อให้ แล้วจากนั้นมาก็เลยคาดกันว่าการที่นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกถือเป็นอัปมงคลนั้น ก็เนื่องมาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้นี่เอง

อีกซักหน่อย..พระพิฆเนศ ถือเป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ทั้งปวง และเชื่อกันว่าเป็นเทพผู้บันทึกคัมภีร์มหาภารตะอีกด้วย ถ้าสังเกตดีๆ พระพิฆจะมีงาข้างเดียว เพราะอีกข้างถูกขวานอะไรซักอย่างฟันขาด มี 4 มือ ถือศาตราวุธครบทุกมือ มีพาหนะและบริวารใช้สอยเป็นหนู (ตรงศาลที่บูชาพระพิฆนี่เลยมีหนูวิ่งอยู่ให้เห็นประปราย) .... รู้แค่นี้ละนะ ที่มาที่ไปของอาวุธกะหนูนี่ไม่สามารถทราบได้เหมือนกัน

ระหว่างดูบ้าเล่าอยู่เราก็ได้ยินเสียงแบะๆๆๆ อยู่ข้างหลัง หันไปเจอแพะตัวเล็กๆ กะว่าฟังดูบ้าจบแล้วจะวิ่งไปเล่นด้วยอยู่เชียว กลายเป็นว่ามีคนแถวนั้นเดินมาหาเรา บอกว่าเดี๋ยวเค้าจะบูชายัญแพะ จะไปดูมั๊ย T_T สุดท้ายดูบ้าเลยต้องหยุดเล่าแล้ววิ่งไปดูเค้าเชือดแพะกันแทน

ห้องเชือดแพะเป็นลูกกรงอยู่ข้างล่างต่ำลงไปชั้นนึง พวกเราเลยต้องชะโงกๆจากข้างบนมองไปเห็นเค้าลากแพะตัวน้อยมา จับมันนอนลงแล้วล๊อคคอขึ้น เอามีดดาบจ่อที่คอมันแล้วก็ .... (แอบหลบให้เสาบังหน่อย กลัวภาพติดตา) เห็นเลือดสีแดงข้นๆพุ่งกระเด็นเป็นแนวอยู่กันพื้น โถ..แพะน้อยที่น่าสงสาร ดูบ้าบอกว่าเป็นเค้าถือว่าเลือดสัตว์บูชาให้เทพ ส่วนเนื้อสัตว์ที่ได้จะเอากลับบ้านไปกินเพื่อเป็นมงคลและร่างกายแข็งแรง

ว่าด้วยเรื่องการบูชายัญกันต่อ....อันนี้จะต้องท้าวความไปถึงแม่ของพระพิฆเนศ คือพระนางปาวารตี ...ในความเชื่อของชาวฮินดูเค้าเชื่อว่าพระนางองค์นี้จะมี 2 ภาค (จริงๆเหมือนจะ 3 แต่ที่ดังๆมี 2) ภาคแรกเป็นภาคใจดี ชื่อว่า พระอุมาเทวี ส่วนอีกภาคคือเจ้าแม่กาลี ซึ่งเป็นภาคดุร้าย และคาดว่าเจ้าแม่กาลีนี้เป็นผู้ปราบอสูรต่างๆให้ชาวโลก จึงทำให้มีผู้กลัวและบูชากันมาก และเนื่องจากว่าเจ้าแม่โปรดการเห็นเลือดและความตาย จึงมีการฆ่าบูชายัญเพื่อสังเวยเลือดให้แก่เจ้าแม่ โดยเชื่อว่าถ้านำสัตว์มาฆ่าให้ตายต่อหน้าเจ้าแม่แล้วถวายเลือดเป็นเครื่องบูชา แล้วนำเนื้อสัตว์ไปกิน จะสร้างสิริมงคลให้แก่ผู้ที่กินเนื้อนั้นเข้าไป


ห้องเชือด


เสร็จพิธีนองเลือดก็ไปกันที่ศาลาที่มีรูปปั้นพระศิวะ ปกติวัดอื่นเค้าจะไม่ให้คนศาสนาอื่นเข้าแต่วัดนี้เข้าได้ ข้างในเป็นเหมือนศิวะลึงค์บนฐานโยนีที่เคยเห็นกัน แต่ตรงศิวะลึงค์จะแกะเป็นหน้าพระศิวะรอบๆ 4 ด้าน ด้านบนจะมีดอกไม้ที่คนมาถวายวางอยู่ แล้วก็จะมีเด็กคอยมาแต้มแดงๆที่หน้าผากให้คนที่เข้ามาไหว้ เสมือนว่าให้มีเทพอยู่กับเรา

ที่มาของศิวลึงค์กะโยนี (อีกซักหน่อย) ...คือเค้าว่ากันว่า พระศิวะเป็นคนสร้างพระนางปาวารตีขึ้นมาโดยเอามือลูบที่หน้าอกของตนเองแล้วบังเกิดเป็นพระนางขึ้นฯ แล้วเลยมีการสร้างศิวลึงค์กะโยนีเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดขึ้น (จริงๆก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่น่าจะประมาณว่า พระศิวะสร้างพระนางขึ้นมาเพื่อเป็นมเหสีแล้วทำให้เกิดการกำเนิดของเทพองค์อื่นขึ้นมาด้วย เลยสร้างอะไรขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดอันนี้อ่ะ)


ศิวลึงค์บนฐานโยนี


ขอพระเจ้าอยู่กับท่าน
(เอ...คนละศาสนาป่ะเนี่ย ???)



อิ๋วน้อยกะจุดแดง

ออกจากวัดนี้ก็เริ่มขึ้นเขาละ องศาการเดินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เป้ที่แบกมากลายเป็นตัวถ่วงอยากมากเลยลองเอามาแบกด้านหน้าดูก็เหมือนจะสบายขึ้นนะ เพราะมันถ่วงให้ก้มพอดี


ทางเดินโคตรร้อน ไร้ร่มเงาให้พักพิง

มีลูกหาบ3คนที่คอยเดินดูคณะเราไม่ให้หลุดหลงไปไหน เห็นเราแบกเป้ใบใหญ่ก็มาถามเราว่าให้เค้าช่วยถือมั๊ย จริงๆเค้าก็ไม่ได้ถืออะไรนะ แต่เห็นคนอื่นในกรุ๊ปแบบใครๆเค้าก็ถือของเค้าเองเลยปฏิเสธไป เดินไปๆอีกซักหน่อย หันไปอีกที ไอ้เดียร์เดินหมดสภาพเอาเป้ให้เค้าถือให้เรียบร้อย >>> ก็แบบว่าเค้ามาถามอ่ะ ... ดูเค้าเดินตัวปลิวๆ ก็เลยให้เค้าไป (Y_Y)




น้ำที่พกมากันคนละขวดก็เริ่มจิบๆกันดับกระหาย ไอ้เดียร์รึ ตอนเอามาบอกชั้นกินน้อยเอามาครึ่งขวดพอ เดินไปยังไม่ทันจะถึงไหนกินน้ำหมดครึ่งขวดไปเรียบร้อย ต้องไปขอชาวบ้านเค้ามาอีกขวดนึง
555 แกนี่ แอบด่าทุกชอตเลยนะ ...ก็มันไม่รู้นี่หว่าว่ามันเหนื่อยขนาดนั้น ปกติแกเห็นชั้นกินน้ำเยอะมั๊ยเล่า

หยุดพักกินข้าวกันตรงถนนร่มๆ ไอ้เดียร์ก็ไม่ยอมไปเอาข้าวที่เป้ตัวเองเพราะกลัวเอาเป้คืนมาแล้วเค้าจะไม่แบกเป้ต่อให้ เลยต้องมากินข้าวกับเรานี่ ก็แบบว่าเค้านั่งไกล๊ ไกล แล้วชั้นนั่งแล้วมันขี้เกียจลุกนี่ ..แกก็กินข้าวไม่หมดอยู่ดี ชั้นก็เลยว่ากินกะแกก็ได้ ไม่ได้กลัวเค้าจะเอาเป้คืนซะหน่อยนึง ..แกนี่ ชอบมองเพื่อนผิดๆๆกินอิ่มๆอากาศก็ดี พอเริ่มมีคนเอนหลังกันซักหน่อย ดูบ้าแกก็ลุกขึ้นบอก let’s go, let’s go. เฮ้ย~~ จะรีบไปไหนนักหนา เออ ลืมบอกไปว่า ดูบ้าของเรานี่แต่งตัวเรียบร้อยมากตลอดเวลาทำงาน พี่แกใส่เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงสแลค รองเท้าหนัง ตั้งแต่เจอกันวันแรกจนวันสุดท้าย ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาเดินขึ้นลงเขา!!


กินข้าวกลางวันกันบนถนนเนี่ยแหละ

ทางขึ้นเขาตอนหลังๆไม่ชันมาก แต่หนทางยาวไกลเหลือเกิน แดดก็ร้อนจัด ระหว่างทางก็เดินผ่านหมู่บ้าน มีเด็กๆวิ่งมาขอขนม ขอช๊อคโกแล๊ตตลอด เรา เดียร์ เจ กางรวมเงินกันซื้อท๊อฟฟี่เตรียมไว้แจกเด็กๆเรียบร้อย แต่ตอนเดินนี่เหนื่อยจนไม่มีปัญญาจะแจก เลยให้เจจัดการเกือบหมด มีเดียร์ไปแจมเล็กน้อย แบบว่าตอนแจกนี่น่ากลัวเล็กน้อย พอแจกคนนึงปุ๊ปนี่อีกไม่รู้กี่คนโผล่มาจากไหนไม่รู้ มีบางคนเดินตามมาอยู่ชาตินึง ให้แล้วก็ไม่ยอมไปจะเอาอีก ..แล้วบางคนก็ไม่ได้เด็กเล๊ย.....ตัวสูงกว่าเราอีกยังมารุมขอท๊อฟฟี่ ...เอ่อ นะ..เค้าเอาไว้แจกเด็กอ่ะนะน้องนะ เจนี่ก็ปฎิบัติหน้าที่แจกขนมเป็นอย่างดี รู้ทันเด็กแอบมั่ว ได้แล้วขออีก
“ชั้นเป็นครูอนุบาลนะ ชั้นจำหน้าเด็กได้คนไหนได้แล้ว คนไหนยังไม่ได้”


อ๊ะ เจอเหยื่อแล้ว


เด็กน้อยไร้เดียงสา


มามะ มามะ
....บรรยายได้อุบาทว์มาก ...ชั้นไม่ได้ไปหลอกลวงใครนะเว้ย

กำลังนึกในใจอยากได้น้ำเย็นๆจัง พอดีเหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆเก่าๆแขวนแอบๆอยู่มุมบ้านคน Cold drinks หน้าบ้านมีเด็กหนุ่มนั่งคุยเล่น มองพวกนักท่องเที่ยวอย่างสบายใจ (ไม่เหมือนว่าขายของอยู่เลย) เราเลยถามแกมๆสงสัยว่ามันจะมีจริงๆหรอ
“มีโค้กเย็นๆมั๊ย”
เด็กหนุ่มพยักหน้า โอ...ดีใจเป็นที่สุด เดินตามเด็กเข้าไปในบ้านจ่ายตัง แล้วรีบออกมาชูขวดโค้กให้เพื่อนร่วมทางดู แล้วแทบจะทุกคนที่เดินตามมา(พวกข้างหน้าเรียกไม่ทัน)ก็แวะซื้อโค้กกันเป็นแถว ออกจากร้านนี้สายตาก็เริ่มเสาะหาป้าย cold drinks ไปตลอดทาง ถึงแม้จะไม่เย็นนัก แต่ก็ชื่นใจไม่น้อย เดินเหนื่อยก็แวะที่ร่มๆกินโค้ก สบายใจ กว่าจะขึ้นไปถึงยอดก็หลายขวดอยู่


สวรรค์น้อยๆของเรา



เดินกันโล่งๆอย่างงี้ ร้อนเหมือนกันนะเนี่ย

เดินกันไปจนเกือบๆจะถึงที่พัก ก็ดั๊นเจอควายนอนแช่อยู่ในแอ่งน้ำกลางทางเดิน ควายก็ดั๊นลุกลี้ลุกลน ลุกๆนั่งๆ นอนกลิ้งๆแล้วก็ลุกขึ้นมาอีก หายใจก็ดัง แถมหันซ้ายหันขวาอยู่ตลอด ขนาดคนแถวนั้นยังเดินปีนขึ้นไปข้างทาง เรากะเดียร์แล้วตอนนั้นก็มีน้องในทริปอีกคนเดินมาด้วยกัน คนนึงเสื้อแดง คนนึงเสื้อส้ม อีกคนเสื้อเหลือง มองควายทีแล้วก็มองเสื้อกันคนละที เอิ่ม...ไม่ค่อยจะล่อตาควายเลยนะเนี่ยพวกเรา ยืนลังเลกันอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเดินแบบกล้าๆกลัวๆข้ามไปได้

ดูบ้าบอกว่าเดินไปอีก 5 นาที ...เดินมาจะ 15 นาทีละยังไม่เห็นวี่แววเลย ... 5 นาทีเนปาลเดินนี่เชื่อไม่ได้จริงๆ



ขนาดสาวๆเจ้าถิ่นเดินหลบเลย

ในที่สุดก็มาถึงที่พักได้ ออกเดินตอนเกือบๆ 9 โมงเช้า มาถึงตอนบ่าย2ครึ่ง ทำเวลาใช้ได้ เออ...ตามกำหนดการนี่เค้าบอกว่าต้องถึงประมาณบ่ายสาม ไอ้เราก็ อยากพั๊ก อยากพักระหว่างเดิน ..ลูกหาบก็มาไล่ยิกๆๆๆ let's go let's go อยู่ได้ ...ดูเด๊ะ สุดท้ายก็มาถึงซะเร็ว!!!! มองลงไปเห็นทะเลสาบ เห็นที่ๆเราเดินขึ้นมาได้แล้วภูมิใจในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก เราก็ยังฟิตใช้ได้เนอะ (รู้สึกจะแข็งแรงกว่าไอ้คนที่ไปฟิตเนสสม่ำเสมอมา 2-3 ปี 55555)

ชั้นไม่ได้ไปฟิตร่างกายนี่หว่า ไปเต้นอ่ะ ไปเต้น ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อขนาดนี้ซะหน่อย

ที่พักที่นี่ชื่อ Annapura & Sherpa (Annapura = ชื่อเทือกเขา, Sherpa = ชื่อชนเผ่าที่อาศัยอยู่แถบนี้) เป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดบนเขานี้แล้ว แต่มีพนักงาน 4-5 คน แบบว่าทำกันแบบบ้านๆ แล้วที่สำคัญ คือห้องพักไม่พอ เลยต้องมีบางห้องต้องนอน 3 คน ... เราเลยตัดสินใจกันว่านอนกัน 4 คนดีกว่าแฮะ

เก็บของเสร็จก็ไปเดินเล่นจุดชมวิวหลังโรงแรม ..วิวสวยดีแฮะ



ห้องพักคืนนี้


ตอนเย็นๆ fish tail ก็โผล่มาทักทาย



ถ่ายจากจุดชมวิวหลังโรงแรม



คืนนี้พอดีเป็นคืนวันขึ้นปีใหม่ของเนปาลด้วย (ตรงกะของไทยเลยเนอะ) ดูบ้าเลยไปต้มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์มารินแจกเป็นการใหญ่ ใครกินหมดก็วิ่งไปเติมให้ตลอด แต่สุดท้ายก็มีพี่แกหัวเราะร่าอยู่คนเดียว ยิ่งหลังๆชักคึกเรียกคนเปิดเพลงแล้วก็มา “เนปาลีแดนซ์” อย่างเมามัน

ก่อนนอนคืนนี้นี่อัดยากันเต็มที่ ทั้งพารา แก้หวัด คลายกล้ามเนื้อ พรุ่งนี้ยังต้องเดินลงอีก ต้องรักษาสภาพร่างกายให้ดีไว้


เส้นสีแดงคือที่เราเดินทางกันวันนี้
สีเขียวนี่จะเป็นทางลงเขาพรุ่งนี้

ปล.ระยะทางคร่าวๆโดยประมาณนะ ..ถ้าทิศทางหรือกิโลผิดนี่อย่าว่ากัน

<<<< อ่านตอนที่แล้ว อ่านตอนต่อไป>>>>