Nepal 5: เดินดิ่งเลียบทะเลสาป แล้วซมซานไปดูน้ำตก!!!
ไม่รู้ทัวร์นี้จะซวยไปถึงไหน ....ฟ้าปิดค่ะ ฟ้าปิด!!! มาดูพระอาทิตย์ขึ้นแต่ฟ้าปิด (--') จริงๆเราควรจะได้เห็นความอลังการของเทือกเขาหิมาลัยทั้งเทือก เพราะตรงจุดนี้มันไม่ควรจะมีอะไรมาบังเลย ..แต่สุดท้ายเมฆหมอกก็มาบังจนได้ แถมหมอกดันลงหนาเฉพาะตรงหิมาลัยเท่านั้นด้วยนะ ..ไอ้ตรงที่เรายืนเนี่ย ..ใสแจ๋วเลย
โชคดีที่ Fisg Tail อลังการพอ เลยเผยยอดมาให้เราเห็นหน่อย แบบว่าสวยมากๆอ่ะ ยอดตรงเป๊ง เด่นเป็นสง่าขึ้นมาเลย แต่ตรงจุดที่เรายืนเนี่ย Fish tail จะอยู่ทางซ้าย แล้วพระอาทิตย์ขึ้นทางขวา มันจะไม่ได้เห็นเป็นเทือกเขาบังพระอาทิตย์ ก็เลยต้องถ่ายรูปเป็น 2 วิว เป็นวิว Fish tail กะวิวพระอาทิตย์ขึ้นแทน
พอซัก 6 โมงครึ่ง ทหารเปิดพื้นที่แล้ว ..แต่พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาสุดๆแล้วเหมือนกัน แล้วคาดว่าจะไม่เห็นอะไรต่างจากที่เห็นตรงนี้ ไกด์บอกว่าบนนั้นจะมีป้ายว่าสูง 1,579 เมตร ...ไม่ไปอ่ะ ขี้เกียจเดิน นั่งชมวิวตรงนี้เรื่อยๆแหละ
พระอาทิตย์ขึ้นกับยอดเขาที่ทหารยึดครอง
คุณเจ้าของโรงแรมน่ารักมาก อุตส่าห์แบกโต๊ะเก้าอี้ขึ้นมาบนดาดฟ้าให้พวกเราได้กินอาหารเช้ารับอากาศสดชื่น พร้อมกับมีมัจฉาปุเรเป็นฉากหลัง แต่ก็นะ แดดชักร้อน สุดท้ายเลยต้องแบกของลงไปกินข้างล่างแทน
บรรยากาศบนดาดฟ้า ที่คุณเจ้าของแบกเก้าอี้ขึ้นมาให้
มัจฉะปุเร
ได้เวลากินข้าวก็ลงมาประจำที่เรียบร้อย มีข้าวต้มร้อนๆมาเสิร์ฟ ...ได้อารมณ์ข้าวต้มกุ๊ยมาก ..ซักพักก็มีขนมปังไข่ต้มกะไส้กรอกเนื้ออะไรไม่รู้ 2-3 อันตามมา แล้วก็ไม่มีอะไรตามมาอีกเลย ...ก็เกิดความสงสัยในบัดลว่าจะให้กินข้าวต้มกะอะไร ??? ถามไปได้คำตอบมาว่า ..ก็กินกะขนมปังไง (--') ....ข้าวต้มบ้านมันกินกะขนมปังหรอเนี่ย ??? หลอกให้ดีใจชัดๆ เอาขนมปังกะเนยกะแยมมาเฉยๆยังจะดีซะกว่า
แต่เดี๋ยวก่อน !!!!! เรามีเพื่อนผู้เตรียมพร้อมอยู่ข้างๆ ไอ้อิ๋ววิ่งไปหยิบหมูหยองในกระเป๋าขึ้นมาทันที แล้วข้าวต้มมื้อเช้านั้นก็หมดไปพร้อมกับหมูหยองที่ไอ้อิ๋วแบกขึ้นเขามา..เหอๆๆๆ
อาหารเช้า
อาหารเช้าชั้นว่าก็โอเคออก มีไส้กรอกสีดำๆที่ไม่มีใครกล้านึกว่ามันคือไส้กรอกเนื้ออะไร ดำเกินกว่าจะเป็นไส้กรอกไก่ หมูแถวนี้ก็ไม่มี และก็ไม่มีใครกินเนื้อวัวกัน มันจะเป็นเนื้ออะไรได้มั่งเนี่ย ไอ้สีส้มๆกองๆนี่เป็นมันฝรั่งอร่อยดี >>>> มีแต่จืดๆอ่ะ ตอนเช้าๆมันต้องกินเนื้อสัตว์ !!!
กินข้าวยังไม่ทันจะย่อย ก็ต้องรีบออกเดินทางลงเขาทันที ...ทางนี้ไม่ใช่ทางเดียวกะเมื่อวาน แต่เป็นทางตัดหน้าเขาลงไปโผล่ที่ริมทะเลสาปเฟวาเลย ระหว่างทางนี้จะไม่ค่อยมีหมู่บ้าน แล้วจะได้อารมณ์เดินเขามากกว่า เพราะไม่มีถนนลาดยาง กะชันมากๆๆทีเดียว จริงๆทางมันดีนะ แบบว่าเอาหินมาวางเรียงๆเป็นขั้นบันไดไว้ ถือว่าเบาแรงไปได้เยอะอยู่ แต่แบบว่าสะพานลอยกรุงเทพก็ตกลมาแล้ว บันไดที่บ้านก็ตกมาแล้ว เลยออกจะหวั่นๆอยู่เล็กน้อย ต้องค่อยๆก้าวๆ ...บางช่วงเนี่ย มันน่ากลัวเอาการทีเดียว เพราะว่าเป็นแค่ก้อนหินเรียงๆให้ลง ถ้าก้าวพลาดมีโอกาสตกเขาได้ง่ายๆ ...ระทึกเอาการใช้ได้เลยอ่ะ
ถ่ายรูปหมู่กันหน้าโรงแรมก่อนจะลงเขา
ข้างหน้าเป็นทะเลสาปเฟวา ที่เรามาล่องเรือกันวันก่อน
เดินไประยะก็ปวดเข่า ขาสั่น ต้องหยุดถี่ขึ้น แต่ก็ทุลักทุเลมาจนถึงทางราบได้แหละ (ค่อยยังชั่ว) เจอร้านขายโค้กร้านแรกตรงตีนเขา ก็เข้าไปนั่งอยู่ระยะใหญ่ๆ ก่อนจะทำใจเดินเลาะทะเลสาปกลับที่พัก
กลับมากินข้าวเที่ยงที่พาโนรามา แล้วไกด์บอกว่า เดี๋ยวบ่ายต้องเดินไปเที่ยวน้ำตกต่อ ใช้เวลาเดินซักประมาณชั่วโมงนึง ... ได้ยินแล้วลมแทบจับ ... เมื่อวานเดินขึ้นเขามันแค่เหนื่อยอ่ะ แต่วันนี้ลงเขามันปวดเข่าสุดๆเลย ... ใจลึกๆนี่ไม่ค่อยอยากไป แต่เค้าบอกว่าน้ำตกนี้ดูอลังๆ มาทแล้วทั้งทีก็ไปซะหน่อยเหอะ ...เอาวะ !!! ฮึดสู้อีกเฮือก ...แข็งใจอีกซักชั่วโมงก็ได้พักแล้ว
ได้พักตอนกินข้าวไม่นาน ก็ออกเดินทางต่อทันที ....เดินตอนเที่ยงๆนี่มันทรมานดีแท้!!! แดดเนปาลนี่ไม่ได้ต่างจากไทยเลย ...อ้อ ...ลืมบอกว่าจริงๆกำหนดการก็ต้องนั่งรถไปแหละ แต่เพราะ curfew เป็นเหตุ เลยต้องใช้กำลังขาทดแทน (Y_Y) ระหว่างทางมีรถทัวร์ว่างๆที่แปะข้างหน้าว่า Tourist Only คันนึงขับผ่านมา ...ดูบ้าก็ไปเจรจา จะขอให้พาเราไปหน่อย พร้อมๆกะคณะทัวร์ที่ส่งสายตาวิงวอนอยู่เป็นฉากหลัง แต่สุดท้ายรถก็ขับออกไป บอกว่าไม่สามารถพาพวกเราไปได้ เดี๋ยวจะซวยไปด้วย ...เฮ้อ ...อนิจจัง ...ต้องทนเดินต่อไปเหมือนเดิม
ตอนแรกก็เดินผ่านเมืองอยู่ดีๆ คนก็เยอะ มีร้านค้าประปราย ซักพักเริ่มรับรู้ถึงบรรยากาศบ้านนอก ประมาณว่าเดินๆแล้วต้องคอยระวังขี้วัว ขี้ควาย กะตัวเป็นๆอีก เดินไปแล้วโคตรจะหมดกำลังใจ แบบว่าไม่เห็นจุดหมายปลายทางเลย แถมไม่มีที่กำบังแดดแม้แต่น้อย ชั่วโมงนึงผ่านไปไม่ได้รู้สึกว่าใกล้จะถึงแล้วเลย ..เหนื่อยมากๆๆๆ เริ่มเจ็บข้อเท้าแล้วด้วยเนี่ย ..อยากร้องไห้
พอเริ่มเข้าเขตเมืองหน่อย ดูบ้าก็พาเลี้ยวเข้าไปหลืบนึงของชุมชน ..ไอ้เราก็ดีใจว่าจะได้พักแล้ว~~~ ปรากฏว่าเป็นทางเข้าน้ำตก ....ลางสังหรณ์เริ่มแหม่งๆ ...น้ำตกอลังการทำไมทางเข้าแค่นี้วะ ??? นั่งพักอยู่ข้างนอกซักระยะ (จริงๆแล้วนั่งเตรียมใจ) ก็เดินเข้าไป...ไม่ได้ยินเสียงน้ำไหลแม้แต่น้อย มองไปรอบๆก็ไม่เห็นจะเห็นอะไรเลย ... มีทางให้ลงไปข้างล่าง ..แอบเศร้าเล็กน้อยที่ต้องเดิน ...แต่มีความหวังว่าอาจจะเจอน้ำตกอลังๆได้ ....
ลงบันไดไปได้ซัก 10 กว่าขั้น ไกด์ก็ไปหยุดอยู่ตรงรั้วที่หน้าตาเหมือนรั้วกั้นบ่อดูจระเข้ แล้วก็บอกว่า เนี่ยแหละ น้ำตกเทวี ....เอ่อ ..... รีบวิ่งไปดูเผื่อจะมีอะไรเข้าใจผิด ...แต่แล้วถึงขึ้นอึ้ง คิดไรไม่ออก ...ประมาณว่าท่อน้ำทิ้งในหนัง hollywood ยังน้ำไหลแรงกว่าอีก ..เฮ้อ ...ทรมานเดินมาทำไมเนี่ยตู !!!! (เปรียบเทียบซะโคตรเว่อ)
ในหนังสือบอกว่าน้ำตกเทวี (Devi's fall) ตามตำนานเป็นที่ที่ชายชื่อเทวีมาเสียชีวิตพร้อมกะคนรักที่นี่ เป็นน้ำตกที่แปลกคือต้องชะโงกหน้าลงไปดู เพราะเป็นน้ำตกที่ทิ้งตัวจากลำธารลงไปสู่หุบเขาเบื้องล่างกว่า 100 เมตร และเป็นน้ำตกที่ลึกที่สุดด้วย ...รูปที่ถ่ายมานี่ก็น้ำเยอะ ดูอลังการอยู่ แต่ตอนที่เราไปนี่ท่าางจะเป็นหน้าซุปเปอร์แล้ง ถึงไม่เห็นอะไรเลย....
กางแบกขาตั้งกล้อง กะลาสติกคลุมกันน้ำไป หวังว่าจะได้ถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ..แต่หลังจากแบกเดินมาได้กว่า 5-6 กิโลก็พบว่า ....ไม่สามารถถ่ายรูปอะไรได้เลย !!!!!! 5555
น้ำตกเดวี่ชื่อดังที่พวกเราเดินมาเกือบตาย
นั่งพัก(ทำใจ)กันอยู่พักใหญ่ๆ ตอนนี้เข่าชักปวดจัด เลยไปขอยืมสนับเข่าของน้องรุ่ง (สต๊าฟ) มาใส่กันไว้ก่อน เดี๋ยวจะต้องเดินกลับอีกไกล แล้วดูบ้าก็บอกว่าเดี๋ยวเราจะลงไปถ้ำกันต่อ แล้วจะเห็นน้ำตกชัดกว่านี้ (แอบนึกในใจว่ายังจะมีให้ชัดกว่านี้ได้อีกหรอ ????)
ต้องเดินออกจากเขตน้ำตก ข้ามถนน แล้วก็ลงบันไดไปถึงทางเข้าถ้ำ ..ดูบ้าบอกว่า ข้างในมันชื้น คนใส่คอนแทกเลนส์ให้ระวัง แล้วก็จะมีปีนป่ายเล็กน้อย มีมุด + พื้นอาจจะลื่นได้ แต่ถ้าเดินเข้าไปสุดถ้ำแล้วจะเห็นน้ำตก แล้วคนที่ดูแลถ้ำมาบอกอีกว่า ลงไปแล้เวจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นวัด ถ่ายรูปไม่ได้ ส่วนที่ 2 ถึงจะสามารถ บลาๆๆ..ฟังดูอลังการดี แต่แบบว่าตอนมาน้ำตกก็ว่าอลังแล้ว แต่ก็ ...นะ ...แถมตอนนี้ขาเดี้ยงอย่างแรง คาดว่าลงไปเนี่ย อาจจะเป็นภาระได้ แล้วพอดีมีพี่อีกคนจะไม่ลง เลยขอไม่ลงด้วยดีกว่า (เสียดายนิดๆ แต่เก็บแรงขาไว้เดินกลับดีกว่า)
เดินไปส่งเพื่อนๆลงถ้ำแล้วก็มานั่งรอ กะว่าอีกซัก 1/2 -1 ชม. คงจะออกมา ...ผ่านไปถึง 15 นาทีรึยังก็ไม่รู้ ก็มีคนทยอยเดินออกมาจากทางเดิม ด้วยสีหน้าที่....(5555 ...แอบหัวเราะอย่างสะใจ) ข้างในเป็นไงมั่งก็ไม่รู้ ให้อิ๋วมาบรรยายหน่อยละกันนะ !!!
ทีแรกดูบ้าเตือนไว้น่ากลัวเชียว คนใส่คอนแทกซ์นะต้องมาบอกไอก่อนนะ ต้องระวังนะมันจะชื้นมาก ต้องเตรียมน้ำตาเทียม บลาๆๆๆ แล้วจะมีมุดๆทางแคบๆ ลำบากๆ เข้าไปนี่ ไม่เห็นจะเป็นอะไร แบบว่าลงบันไดไป(บันไดปูนทำอย่างดี) ก็เป็นห้องไม่ใหญ่นักห้องนึง ชื้นๆมีน้ำหยดๆ แล้วก็มีกรงๆข้างในมีพระตั้งอยู่ มีคนไหว้พระนิดหน่อย แล้วก็ถึงประตูเข้าชั้น2ที่ดูบ้าบอกว่าพ้นประตูนี้ไปถ่ายรูปได้ (ชั้นแรกมีแค่นี้อ่ะนะ --')
เข้าสู่ชั้น2 มีทางเดินแคบๆแบบต้องเอียงตัวเข้าตามที่ดูบ้าบอกละ ระหว่างบิดๆตัวเดินเข้าไป ไฟก็ดับ! เราแบบ เอิ่ม...กำลังอยู่ในท่าเอี้ยวตัวสุดชีวิต ไฟดับก็ไม่มีใครกล้าเดิน ดีนะดับอยู่แป๊บเดียว แล้วก็เดินเข้าไปต่อ
พ้นทางแคบๆก็เป็นห้องใหญ่ มองไปเห็นเหมือนรอยแยกมีแสงสว่าง ถ้าเดินลงไปจนสุดก็จะเจอน้ำที่ไหลไปเป็นน้ำตก แต่แบบ ยืนอยู่ข้างบนก็เห็นอ่ะ แถมข้างล่างมืดมากๆ เราก็ไปเห็นคนเดินกันทุลักทุเล แล้วก็กลับมา เราก็เลยยืนดูอยู่แค่ข้างบนนั่นแหละ
เสร็จแล้วยังไม่พอแค่นี้นะ ดูบ้าพาไปศูนย์อพยพชาวธิเบตต่อ ซึ่งก็ไม่มี๊ ไม่มีอะไรอีกเช่นเคย ...มันมีเหมือนคล้ายๆศูนย์ศิลปาชีพที่เอาพรมทอมือของชาวบ้านมาขาย แต่แบบว่ามันก็ไม่ได้สวยมากไง แล้วก็ไม่รูจะเอาไปใช้อะไรด้วย ..จะว่าไปก็สงสารชาวบ่านอ่ะนะ ดูเค้าก็ไม่รู้จะเอารายได้มาจากไหน แต่ก็ไม่รู้จะซื้อไปทำอะไรเหมือนกันอ่ะ
ตรงแถวๆขายของที่ระลึกเนี่ย ขายเหมือนที่จิ่วไจ้โกวเลย แต่ที่จิ่วสวยกว่า กะดูของใหม่กว่าแยะ แต่วิธีการขายไม่เหมือน ...แบบว่าเค้าจะให้เราเอาขนม หรืออาหาร หรืออะไรแลกกะของเค้าก็ได้ หรือถ้าของเรามูลค่าน้อยจัด ก็เอาไปลดราคาได้ ....เราใส่หนังยางมัดผมไว้ที่ข้อมือยังจะมาขอแลกเลยอ่ะ !!!!
สิ้นสุดกันที สำหรับการเดินทางวันนี้ ....แต่การเดินทางของเรายังไม่จบ !!! อยากจะร้องไห้ ต้องเดินกลับไปที่พักอีก แถมตอนแรกไกด์นึกว่าจะได้กลับไปที่พักก่อน เลยไปย้ายร้านอาหารเย็นมาใกล้ๆด้วยความหวังดีว่าจะได้เดินใกล้กว่าเดิม .. แต่เราดันเดินกันช้า ขากลับต้องไปที่ร้านอาหารเลย ..สุดท้ายกลายเป็นว่าร้านเดิมมันถึงก่อนโรงแรม ตอนนี้เลยต้องเดินไกลหนัก ..เฮ้อ
ปวดเข่าสุดๆ ต้องกัดฟันเดินไปด้วย speed สม่ำเสมอ ..กลัวมาพักแล้วเดี๋ยวเครื่องจะดับ ระหว่างทางเห็นจักรยานขับผ่าน อยากจะขอนั่งซ้อนท้ายไปด้วยจริงๆ Y_Y ตอนนี้จะเดินงอเข่าไม่ได้อยู่แล้ว หน้าขาตึงมากๆๆ (แต่ไม่เมื่อยน่องแฮะ...แปลก) ก้มหน้าก้มตาเดินไปเรื่อยๆ ตอนแรก เจกะกางเดินนำไปในระยะที่มองเห็นได้ ..เดินไปเดินมาชักห่าง....โชคยังดีมีไอ้อิ๋วเพื่อนรักอยู่ข้างๆ (จุ๊บๆๆๆ) ขอค่อยๆเดินตามที่สังขารจะไปไหวละกันนะ !!! ไม่เคยเจียมสังขารเล๊ยเพื่อนเรา เห็นเดินไปน้ำตาจะไหลไป น่าอนาถเหลือเกิน 555
ร้านอาหารที่เราไปกินชื่อ Boomerang อยู่ติดทะเลสาปเฟวาเลย วิวสวย ....ไปถึงนี่ขอนั่งยืดขาทันที แบบว่าจะตายเอาอยู่แล้ว อยากได้น้ำเย็นๆๆๆๆ ซึ่งไม่สามารถหาได้ เพราะที่นี่ไม่มีน้ำแข็ง !!!!!
เจกะกางมาถึงก่อน มีเรากะอิ๋วตามมาเป็นคู่ที่ 2 ..พี่ผู้ชายอีก 2 คน แล้วก็คนอื่นตามมาเรื่อยๆ คนอื่นเค้าไปเดินช้อปปิ้งกันต่อน่ะ ไม่ใช่ว่าเราเดินกันมาเร็ว ... เหนื่อยๆอย่างนี้ๆหนุ่มๆก็เลยสั่งเบียร์มากินกัน (ก่อนหน้านี้ไม่เค๊ย ไม่เคยจะคุยกัน พอเหล้าเข้าปากล่ะ สนิทได้ในบัดดล) ..ไปๆมาๆ กินข้าวเสร็จ โต๊ะนี้ก็ยังกินเบียร์กันต่อ ...ว่าจะพอๆๆ แล้วกลับไปนอนพัก ดูบ้าดันมาเลี้ยงต่ออีก 2 ขวด แล้วพาเจ้าของร้านมาแนะนำ เจ้าของร้านเลยมานั่งคุย เลี้ยงขนมปีใหม่ ที่ไม่อร่อยเลย กะเลี้ยงเบียร์ต่ออีก สุดท้ายกว่าได้กลับก็ล่อเข้าไป 4 ทุ่มโน่นแน่ะ
กลับมาเจอร้านกระเป๋าเป้ปากซอยโรงแรม กางกะเจอยากได้อยู่แล้ว มาดูที่ร้านนี้แหละ ตอนแรกนึกว่าจะมาไม่ทันละ เพราะเจ้าของร้านเคยบอกไว้ว่าจะปิดร้านประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ..เดินมาถึงร้านกำลังจะปิดพอดี แต่เค้าจำพวกเราได้ เลยถามว่าจะดูมั๊ย พอบอกว่าจะดูก็เลยเปิดให้เราเข้าไปซื้อ ...ไอ้อิ๋วต้องซื้อรองเท้าคู่ใหม่ด้วยเพราะพื้นหลุดออกมาหมดแล้ว เจอยากได้เป้กะเสื้อ ..กางจะเอาเป้ เราก็ได้เป้มาใบนึง ...พวกเราก็ได้ที เห็นเค้าจะปิดร้านเลยต่อแหลก ..แต่เค้าก็น่าจะคุ้มนะ เราซื้อกันเยอะนี่น่า ...
ได้เวลากลับโรงแรม ..ไปถึงโรงแรมล๊อคประตูรั้วเรียบร้อย ต้องกดออดให้ออกมาเปิด (--') ไอ้เราก็ตกใจว่ามากันกลุ่มสุดท้ายเลยหรอ ?? ที่ไหนได้ คุณสต๊าฟเรา 2 คนก็ยังไม่กลับเข้ามา สงสัยมัวไปปีน"เอเวอเรส"(ชื่อเบียร์ที่โน่นน่ะ)กันอยู่
รองเท้าที่ใช้ลุยมาหลายปี ต้องทิ้งอยู่ที่โพครา
T_T
กะว่าคืนนี้จะเปิดน้ำร้อนแช่ขาซะหน่อย ...น้ำร้อนดันหมด !!! (ไม่รู้หมดหรืออะไรอ่ะ แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำร้อน) เซ็งเลย เลยต้องมานั่งนวดๆๆๆๆๆๆขาอย่างแรง พรุ่งนี้เตรียมตัวกลับ กาฎมัณฑุ ....เหนื่อยๆๆๆๆ
หลับสนิทค่ะ หลับสนิท ...เจ็บคอก็เจ็บ ....ขาก็ปวด ...ทรมานมากๆ (แต่มันส์สุดๆเหมือนกัน ^^ ) ดันเปิดพัดลมเป่าตอนนอนอีก ตื่นมาไม่สบายกันหมด
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home