โตเกียว 6: ทำโซบะ ใส่กิโมโน พิธีชงชา อาซากุซะ
26 มีนาคม 2003
ตอนเช้าก็เรียนอีกเหมือนเดิม บ่ายวันนี้มีให้ทำโซบะ ต้องนั่งรถไฟไปไกลมาก เค้าเลยให้พักเที่ยงครึ่งชม.เอง พวกเราก็เลยไม่ได้ไปกินข้าวเพราะเค้าบอกว่าทำเสร็จแล้วเราก็กินโซบะที่เราทำเลย สุดท้ายก็ได้กินโซบะที่เราทำอย่างเค้าว่า เพียงแต่ได้กินตอนเย็น (หิวมากๆๆๆๆ)
แต่ทำโซบะก็สนุกดีนะ เค้าเป็นโรงเรียนสอนทำเลย ให้อุปกรณ์กันมาคนละชุด เริ่มแรกเค้าก็อธิบายใหญ่ ขึ้นกระดานเลยว่ามีประวัติยังไง มีกี่แบบ หยั่งโง้นหยั่งงี้ แต่ขอโทษฟังกันไม่ออกเลยซักคำ แต่เนื่องจากเค้าตั้งใจอธิบายมาก เราเลยต้องตั้งใจฟังทั้งๆที่ไม่เข้าใจอะไรเลย+ท้องร้องจ๊อกๆ เค้าว่าโซบะเนี่ยต้องเอาแป้ง 2 อย่างมาผสมกัน โซบะก็จะแบ่งประเภทตามสัดส่วนของแป้ง 2 อย่างนี้ โซบะที่เราจะทำวันนี้ทำโดยใช้สัดส่วนที่ออกมาอร่อยที่สุด (จริงหรอ) เค้าก็สาธิตวิธีการทำ เริ่มจากค่อยๆเทน้ำลงในแป้ง ปั้นๆๆนวดๆๆ วิธีนวดก็ต้องเป็นวิธีเค้านะ ต้องปั้นให้เ)็นรูปดอกบ๊วย(ไม่สามารถค่ะ) นวดเสร็จก็เอาไม้มาคลึงๆให้เป็นแผ่นใหญ่ๆ จากนั้นก็พับๆแล้วเอามาตัดเป็นเส้นๆ เค้าสาธิตเสร็จก็ให้พวกเราทำ ทำกันไปก็บ่นกันไป หิวๆๆๆ
บรรยากาศห้องเรียนทำโซบะ
กว่าจะทำกันเสร็จหมดก็เกือบเย็นแล้ว เค้าก็บอกงั้นไปลวกกินกันเลยดีกว่า เค้าก็ลวกของเค้าให้กินก่อนเลย แบบมีแค่เส้นกะน้ำซุบ ขนาดของเค้าทำเรากินยังไม่รู้สึกว่าอร่อยเลยอ่ะ ของพวกเราทำเองก็เส้นเบี้ยวๆ หนาบ้าง บางบ้าน อยากกลับไปกินข้างร้อนๆข้างนอกเหลือเกิน เค้าก็ลวกมาเยอะมาก เราก็บอกเค้าว่ากินไม่หมดแล้ว ที่ยังไม่ลวกขอกลับไปกิน(จริงๆแล้วทิ้ง)ที่บ้านละกัน เค้าก็ถามว่าที่บ้านมีเตาหรอ บอกเไม่มีเค้าก็เลยอุตส่าห์ลวกให้แป๊บนึง เราเอากลับบ้านไปลวกน้ำร้อนอีกหน่อยก็กินได้ แล้วก็แพ๊คน้ำซุบให้อย่างดี พวกเราก็แสนจะเกรงใจ เพราะสุดท้ายก็เอากลับไปทิ้ง (ก็มันไม่อร่อยจริงๆอ่ะ)
ผลงานของเราเอง งามมะ?
เย็นนั้นนัดกับโยโกะไว้ด้วย เราไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า เพิ่งมาได้กินโซบะตอน 4 โมงเย็น ก็ซัดเข้าไปเยอะพอสมควร ชักเริ่มอิ่ม แต่โยโกะอุตส่าห์จะพาไปกินโอโคโนมิยากิที่เราเคยบอกเค้าว่าอยากกินแบบทำเอง (จริงๆน้องจั่นอยาก) นัดกับโยโกะที่สถานี Ebisu (Ebisu เป็น 1 ในเทพเจ้าของญีปุ่น รู้สึกจะเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย) เดินๆไปเป็นตึกหรูหรา ร้านตั้งอยู่บนชั้นสูงๆของตึกเลย มองไปเห็นวิวยามค่ำคืนของโตเกียว เราก็สั่งกันมา 2 จาน ทำกินเองสนุกดี ใส่มายองเนส แล้วก็ปลาหมึกแห้งเยอะๆ กินตอนร้อนๆ อร่อยเหาะ แต่เนื่องจากเราเพิ่งกินมา เลยชักอิ่มๆ แต่ก็ต้องกินต่อไป พอชักดึกคนในร้านเริ่มเมากันได้ที่ เริ่มเอะอะโวยวาย (แต่เหมือนเป็นเรื่องปกติของที่นี่) มื้อนี้โยโกะเลี้ยงด้วย (กินฟรีอีกแล้ว) กินเสร็จก็กลับบ้านนอน อิ่มเหลือเกิน
27 มีนาคม 2003
จากบทเรียนเมื่อวานสอนให้เรารู้ว่าควรกินข้าวก่อนไปทำกิจกรรม เราก็รองท้องกันไปเต็มที่ แต่ไม่ได้เอะใจเลยว่ากิจกรรมวันนี้คือการไปใส่กิโมโน ซึ่งเค้ารัดแน่นมากๆแทบจะเอาตีนถึบแล้วดึงสายรัดเอาเหมือนในหนังที่พวกคนยุโรปใส่กันแน่ๆนั่นแหละ แบบรัดจนหายใจได้ไม่เต็มปอด อึดอัดมาก ถ่ายรูปเสร็จก็รีบถอดแทบไม่ทัน
จากนั้นเราก็ไปพิธีชงชากัน มีคนแก่ๆเช้ามาเต็มห้องเลย แล้วเค้าก็อธิบายประวัติอันยาวนานของการชงชา คุณแอนก็ชักฟังไม่ออกละ คุณเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียน (โบซัง) ที่เป็นคนไต้หวันเลยล่อภาษาจีนให้เราแปลแทน เราก็แปลเท่าที่ฟังออก (มั่งบ้างเล็กน้อย) เค้าว่าพิธีชงชานี่เริ่มจากพระจีนที่มาเผยแพร่ศาสนาที่ญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็พัฒนามาเรื่อยๆ (จำไม่ได้แล้ว) แล้วเค้าก็จุดเตาถ่าน แล้วก็ให้เราไปนั่งชื่นชมวิธีเรียงถ่าน+ดูถ่านไหม้ไปอย่างสวยงาม - -‘
พอเอากาขึ้นวางบนเคา เค้าก็เอาของหวานมาให้ หน้าตาเรียบง่ายหรูหรา แต่หวานมากๆ พอกินกันเสร็จ น้ำเดือดพอดี เค้าก็เริ่มชงชา แบบเป็นชั้นเป็นตอนมาก ทุกชั้นตอนต้องเป็นไปตามวิธีที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะท่าตักน้ำ วางกระบวย คนชา เสริฟชา คนรับชาไปก็ต้องมีวิธีมากมาย (เหนื่อยจัง) ชาอร่อยกว่าที่คิดมาก นึกว่าจะขมๆแบบเหม็นเขียวๆ แต่ก็ไม่ขมมาก แล้วก็หอมมากด้วย พวกคนญี่ปุ่นหน้าตาดีใจกันใหญ่ที่พวกเรากินกันหมดทุกคน แบบน้ำตาอร่อยจริงๆ ไม่เหมือนอร่อยแบบโซบะเมื่อวาน
ขนมก่อนน้ำชา
คนที่ชงชาให้กิน
กินชาเสร็จเราก็มุ่งหน้าไปยัง Asakusa ที่มีโคมไฟสีแดงอันใหญ่หน้าประตูวัด เป็นอีกจุดนึงที่คนมาโตเกียวต้องมาถ่ายรูป บนโคมเขียนเป็นตัวคันจิว่า kaminari-mon แปลว่าประตูสายฟ้า หลังประตูวัดจะเป็นถนนยาวๆมุ่งสู่ตัววัด สองข้างทางมีร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด มองไปข้างๆมีสวนสนุกเล็กๆ มีเครื่องเล่นที่เป็นเสาสูงที่ให้นั่งขึ้นไปแล้วตกลงมาเร็วๆ พวกกลุ่มเราเลยแยกเป็น 2 กลุ่มคือพวกซื้อของกะไปเล่นเครื่องเล่น เราก็อยากเล่นนะแต่ซื้อของสำคัญกว่า 555 เลยเดินตามร้านซื้อเครื่องราง ของที่ระลึกบ้าๆบอๆ ถ่ายรูป เข้าไปถึงตัววัดก็ไหว้พระ เสี่ยงเซียมซีหน่อยนึง ได้ “โชคดีมาก” ด้วย
รูปมาตรฐานของคนมาโตเกียว
ออกมาเจอร้านขายดังโงะ เป็นแบบโต๊ะกว้างๆเตี้ยๆ ประมาณตั่งอย่างงั้นแหละ ปูผ้าไว้ให้คนมานั่งชมวิวจิบน้ำชา กินดังโงะกัน เหมือนในการ์ตูนเลย แบบกินกันอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเอโดะหรือก่อนนั้น (ในเคนชินก็มีนะ) พวกเราก็ไปซื้อดังโงะมาคนละไม้สองไม้ รสชาติคล้ายๆกันหมด เป็นแป้งข้าวเหนียวแล้วข้างในไส้ถั่วแดง หวานๆ มีอันนึงเอาแป้งไปชุบโชยุแล้วปิ้ง รสชาตปะแล่มพิลึก พอเดินกลับมาถึงประตู เพิ่งเห็นหลังประตูมีรองเท้าฟางสานๆ คู่ใหญ่มาก แขวนไว้ด้านละข้าง เคยอ่านมาว่าเป็นรองเท้าของพระพุทธเจ้า (เหยียบลงมาทีคนตายได้ซัก 20 คน)
อ้อ ลืมอีกอย่าง จุดสังเกตอีกอย่างของอาซากุซะคือ ถ้าเรายินหันหน้ามองไปเห็นโคมหน้าประตู (ยืนหน้าวัดนะ) ลองมองไปทางซ้ายมือตามถนนไป จะเห็นอุนจิก้องใหญ่สีทอง ตั้งตระหง่านอยู่บนตึก ขำดี ไม่รู้คนสร้างเค้าตั้งใจสร้างเป็นอะไร เดินกันเสร็จ ยังไม่เย็นมาก แล้วก็อยู่ไม่ไกล Akihabara พวกเราเลยแวะไปอีกรอบ คราวนี้ได้ซื้อจริงๆซะที เราซื้อ Nikon coolpix 2100 ประมาณหมื่นบาทพอดี แล้วก็ซื้อ CF128MB กะกระเป๋ากล้อง พี่เบนซ์ซื้อ Olympus รุ่นใหม่เอี่ยม (แต่พี่แกใช้ไรไม่เป็นเลย) แล้วก็มีน้องจั่นซื้อกล้องฝากเพื่อน เดินๆไปตามร้านเกมส์+การ์ตูน (เรากะน้องตูนตื่นเต้นกันมาก คนอื่นไม่ค่อยสนเลยต้องรีบๆเดิน) เจอเกมส์กลองที่ไว้เล่นกับps2 ด้วย อยากได๊อยากได้ เย็นนั้นรู้สึกจะกินแฮมเบอร์เกอร์ร้านของญี่ปุ่น มีเบอร์เกอร์ข้าวเนื้อย่างด้วย แบบใช้ข้าวเอามาอัดเป็นแผ่นแทนขนมปัง แล้วตรงกลางเป็นเนื้อผัดโชยุ แปลกดี แต่ไม่ค่อยจะอร่อยเท่าไหร่
ตอนเช้าก็เรียนอีกเหมือนเดิม บ่ายวันนี้มีให้ทำโซบะ ต้องนั่งรถไฟไปไกลมาก เค้าเลยให้พักเที่ยงครึ่งชม.เอง พวกเราก็เลยไม่ได้ไปกินข้าวเพราะเค้าบอกว่าทำเสร็จแล้วเราก็กินโซบะที่เราทำเลย สุดท้ายก็ได้กินโซบะที่เราทำอย่างเค้าว่า เพียงแต่ได้กินตอนเย็น (หิวมากๆๆๆๆ)
แต่ทำโซบะก็สนุกดีนะ เค้าเป็นโรงเรียนสอนทำเลย ให้อุปกรณ์กันมาคนละชุด เริ่มแรกเค้าก็อธิบายใหญ่ ขึ้นกระดานเลยว่ามีประวัติยังไง มีกี่แบบ หยั่งโง้นหยั่งงี้ แต่ขอโทษฟังกันไม่ออกเลยซักคำ แต่เนื่องจากเค้าตั้งใจอธิบายมาก เราเลยต้องตั้งใจฟังทั้งๆที่ไม่เข้าใจอะไรเลย+ท้องร้องจ๊อกๆ เค้าว่าโซบะเนี่ยต้องเอาแป้ง 2 อย่างมาผสมกัน โซบะก็จะแบ่งประเภทตามสัดส่วนของแป้ง 2 อย่างนี้ โซบะที่เราจะทำวันนี้ทำโดยใช้สัดส่วนที่ออกมาอร่อยที่สุด (จริงหรอ) เค้าก็สาธิตวิธีการทำ เริ่มจากค่อยๆเทน้ำลงในแป้ง ปั้นๆๆนวดๆๆ วิธีนวดก็ต้องเป็นวิธีเค้านะ ต้องปั้นให้เ)็นรูปดอกบ๊วย(ไม่สามารถค่ะ) นวดเสร็จก็เอาไม้มาคลึงๆให้เป็นแผ่นใหญ่ๆ จากนั้นก็พับๆแล้วเอามาตัดเป็นเส้นๆ เค้าสาธิตเสร็จก็ให้พวกเราทำ ทำกันไปก็บ่นกันไป หิวๆๆๆ
บรรยากาศห้องเรียนทำโซบะ
กว่าจะทำกันเสร็จหมดก็เกือบเย็นแล้ว เค้าก็บอกงั้นไปลวกกินกันเลยดีกว่า เค้าก็ลวกของเค้าให้กินก่อนเลย แบบมีแค่เส้นกะน้ำซุบ ขนาดของเค้าทำเรากินยังไม่รู้สึกว่าอร่อยเลยอ่ะ ของพวกเราทำเองก็เส้นเบี้ยวๆ หนาบ้าง บางบ้าน อยากกลับไปกินข้างร้อนๆข้างนอกเหลือเกิน เค้าก็ลวกมาเยอะมาก เราก็บอกเค้าว่ากินไม่หมดแล้ว ที่ยังไม่ลวกขอกลับไปกิน(จริงๆแล้วทิ้ง)ที่บ้านละกัน เค้าก็ถามว่าที่บ้านมีเตาหรอ บอกเไม่มีเค้าก็เลยอุตส่าห์ลวกให้แป๊บนึง เราเอากลับบ้านไปลวกน้ำร้อนอีกหน่อยก็กินได้ แล้วก็แพ๊คน้ำซุบให้อย่างดี พวกเราก็แสนจะเกรงใจ เพราะสุดท้ายก็เอากลับไปทิ้ง (ก็มันไม่อร่อยจริงๆอ่ะ)
ผลงานของเราเอง งามมะ?
เย็นนั้นนัดกับโยโกะไว้ด้วย เราไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า เพิ่งมาได้กินโซบะตอน 4 โมงเย็น ก็ซัดเข้าไปเยอะพอสมควร ชักเริ่มอิ่ม แต่โยโกะอุตส่าห์จะพาไปกินโอโคโนมิยากิที่เราเคยบอกเค้าว่าอยากกินแบบทำเอง (จริงๆน้องจั่นอยาก) นัดกับโยโกะที่สถานี Ebisu (Ebisu เป็น 1 ในเทพเจ้าของญีปุ่น รู้สึกจะเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย) เดินๆไปเป็นตึกหรูหรา ร้านตั้งอยู่บนชั้นสูงๆของตึกเลย มองไปเห็นวิวยามค่ำคืนของโตเกียว เราก็สั่งกันมา 2 จาน ทำกินเองสนุกดี ใส่มายองเนส แล้วก็ปลาหมึกแห้งเยอะๆ กินตอนร้อนๆ อร่อยเหาะ แต่เนื่องจากเราเพิ่งกินมา เลยชักอิ่มๆ แต่ก็ต้องกินต่อไป พอชักดึกคนในร้านเริ่มเมากันได้ที่ เริ่มเอะอะโวยวาย (แต่เหมือนเป็นเรื่องปกติของที่นี่) มื้อนี้โยโกะเลี้ยงด้วย (กินฟรีอีกแล้ว) กินเสร็จก็กลับบ้านนอน อิ่มเหลือเกิน
27 มีนาคม 2003
จากบทเรียนเมื่อวานสอนให้เรารู้ว่าควรกินข้าวก่อนไปทำกิจกรรม เราก็รองท้องกันไปเต็มที่ แต่ไม่ได้เอะใจเลยว่ากิจกรรมวันนี้คือการไปใส่กิโมโน ซึ่งเค้ารัดแน่นมากๆแทบจะเอาตีนถึบแล้วดึงสายรัดเอาเหมือนในหนังที่พวกคนยุโรปใส่กันแน่ๆนั่นแหละ แบบรัดจนหายใจได้ไม่เต็มปอด อึดอัดมาก ถ่ายรูปเสร็จก็รีบถอดแทบไม่ทัน
จากนั้นเราก็ไปพิธีชงชากัน มีคนแก่ๆเช้ามาเต็มห้องเลย แล้วเค้าก็อธิบายประวัติอันยาวนานของการชงชา คุณแอนก็ชักฟังไม่ออกละ คุณเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียน (โบซัง) ที่เป็นคนไต้หวันเลยล่อภาษาจีนให้เราแปลแทน เราก็แปลเท่าที่ฟังออก (มั่งบ้างเล็กน้อย) เค้าว่าพิธีชงชานี่เริ่มจากพระจีนที่มาเผยแพร่ศาสนาที่ญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็พัฒนามาเรื่อยๆ (จำไม่ได้แล้ว) แล้วเค้าก็จุดเตาถ่าน แล้วก็ให้เราไปนั่งชื่นชมวิธีเรียงถ่าน+ดูถ่านไหม้ไปอย่างสวยงาม - -‘
พอเอากาขึ้นวางบนเคา เค้าก็เอาของหวานมาให้ หน้าตาเรียบง่ายหรูหรา แต่หวานมากๆ พอกินกันเสร็จ น้ำเดือดพอดี เค้าก็เริ่มชงชา แบบเป็นชั้นเป็นตอนมาก ทุกชั้นตอนต้องเป็นไปตามวิธีที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะท่าตักน้ำ วางกระบวย คนชา เสริฟชา คนรับชาไปก็ต้องมีวิธีมากมาย (เหนื่อยจัง) ชาอร่อยกว่าที่คิดมาก นึกว่าจะขมๆแบบเหม็นเขียวๆ แต่ก็ไม่ขมมาก แล้วก็หอมมากด้วย พวกคนญี่ปุ่นหน้าตาดีใจกันใหญ่ที่พวกเรากินกันหมดทุกคน แบบน้ำตาอร่อยจริงๆ ไม่เหมือนอร่อยแบบโซบะเมื่อวาน
ขนมก่อนน้ำชา
คนที่ชงชาให้กิน
กินชาเสร็จเราก็มุ่งหน้าไปยัง Asakusa ที่มีโคมไฟสีแดงอันใหญ่หน้าประตูวัด เป็นอีกจุดนึงที่คนมาโตเกียวต้องมาถ่ายรูป บนโคมเขียนเป็นตัวคันจิว่า kaminari-mon แปลว่าประตูสายฟ้า หลังประตูวัดจะเป็นถนนยาวๆมุ่งสู่ตัววัด สองข้างทางมีร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด มองไปข้างๆมีสวนสนุกเล็กๆ มีเครื่องเล่นที่เป็นเสาสูงที่ให้นั่งขึ้นไปแล้วตกลงมาเร็วๆ พวกกลุ่มเราเลยแยกเป็น 2 กลุ่มคือพวกซื้อของกะไปเล่นเครื่องเล่น เราก็อยากเล่นนะแต่ซื้อของสำคัญกว่า 555 เลยเดินตามร้านซื้อเครื่องราง ของที่ระลึกบ้าๆบอๆ ถ่ายรูป เข้าไปถึงตัววัดก็ไหว้พระ เสี่ยงเซียมซีหน่อยนึง ได้ “โชคดีมาก” ด้วย
รูปมาตรฐานของคนมาโตเกียว
ออกมาเจอร้านขายดังโงะ เป็นแบบโต๊ะกว้างๆเตี้ยๆ ประมาณตั่งอย่างงั้นแหละ ปูผ้าไว้ให้คนมานั่งชมวิวจิบน้ำชา กินดังโงะกัน เหมือนในการ์ตูนเลย แบบกินกันอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเอโดะหรือก่อนนั้น (ในเคนชินก็มีนะ) พวกเราก็ไปซื้อดังโงะมาคนละไม้สองไม้ รสชาติคล้ายๆกันหมด เป็นแป้งข้าวเหนียวแล้วข้างในไส้ถั่วแดง หวานๆ มีอันนึงเอาแป้งไปชุบโชยุแล้วปิ้ง รสชาตปะแล่มพิลึก พอเดินกลับมาถึงประตู เพิ่งเห็นหลังประตูมีรองเท้าฟางสานๆ คู่ใหญ่มาก แขวนไว้ด้านละข้าง เคยอ่านมาว่าเป็นรองเท้าของพระพุทธเจ้า (เหยียบลงมาทีคนตายได้ซัก 20 คน)
อ้อ ลืมอีกอย่าง จุดสังเกตอีกอย่างของอาซากุซะคือ ถ้าเรายินหันหน้ามองไปเห็นโคมหน้าประตู (ยืนหน้าวัดนะ) ลองมองไปทางซ้ายมือตามถนนไป จะเห็นอุนจิก้องใหญ่สีทอง ตั้งตระหง่านอยู่บนตึก ขำดี ไม่รู้คนสร้างเค้าตั้งใจสร้างเป็นอะไร เดินกันเสร็จ ยังไม่เย็นมาก แล้วก็อยู่ไม่ไกล Akihabara พวกเราเลยแวะไปอีกรอบ คราวนี้ได้ซื้อจริงๆซะที เราซื้อ Nikon coolpix 2100 ประมาณหมื่นบาทพอดี แล้วก็ซื้อ CF128MB กะกระเป๋ากล้อง พี่เบนซ์ซื้อ Olympus รุ่นใหม่เอี่ยม (แต่พี่แกใช้ไรไม่เป็นเลย) แล้วก็มีน้องจั่นซื้อกล้องฝากเพื่อน เดินๆไปตามร้านเกมส์+การ์ตูน (เรากะน้องตูนตื่นเต้นกันมาก คนอื่นไม่ค่อยสนเลยต้องรีบๆเดิน) เจอเกมส์กลองที่ไว้เล่นกับps2 ด้วย อยากได๊อยากได้ เย็นนั้นรู้สึกจะกินแฮมเบอร์เกอร์ร้านของญี่ปุ่น มีเบอร์เกอร์ข้าวเนื้อย่างด้วย แบบใช้ข้าวเอามาอัดเป็นแผ่นแทนขนมปัง แล้วตรงกลางเป็นเนื้อผัดโชยุ แปลกดี แต่ไม่ค่อยจะอร่อยเท่าไหร่
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home