26/12 : เวียงจันทน์ - วังเวียง
25/12/48 , 20.00
ตั๋วบอกว่าให้รอที่ชานชลา 6 เราก็รอตั้งน๊านนาน ไม่เห็นมาซักที ...ดีนะเหลือบไปเห็นป้านรถไปหนองคายตรงชานชลา 4 เลยเดินไปถาม..สรุปว่าเราก็ไปขึ้นรถคันนั้นแหละ ...ไรว้า....จอดไม่เห็นตรงชานชลาเลย ตกรถไปทำไงเนี่ย ???
รถคันนี้นะ ที่นั่งก็ดีอยู่หรอก แต่แบบว่าคนที่นั่งด้วยกันเนี่ย สุดแสนจะบรรยาย ..ตกกลางคืนเสียงกรน surround รอบทิศ ดังมากๆๆ!!! เรากะต้องตาอยากนอนก็อยาก แต่เสียงกรนนี่สุดจะทน แถมตอนแวะกินข้าวกลางทางขึ้นมาเหมือนจะมีคนนึงเมาหน่อยๆ ไปทะเลาะกะคนขับอีก ...เฮ้อ ...สรุปเป็นว่านอนไม่เป็นสุขเล้ย... คืนนั้น
26/12/48 ,
5.30
ถึงหนองคายโดยสวัสดิภาพ ..เย้ๆๆๆ สามล้อมารุมกันเพียบ ถามใหญ่ว่าจะไปไหน (เป็นอย่างนี้ทุกท่ารถเลย ..น่ากลัวมากๆๆ) เห็นป้ายเที่ยวลาวอยู่ลิบๆ เลยเดินไปถามตรงนั้นดีกว่า ..ได้ความว่า รถมาตอน 7.30 ตอนนี้ก็เลยต้องไปหาอะไรรองท้องก่อนอ่ะนะ
แถวนั้นมีตลาดพอดี แต่เหมือนจะมีขายแต่ของสด มีร้านกินข้างแค่ ข้าวเปียก โจ๊ก กะร้านปาท่องโก๋ข้างๆ ก็เลยนั่งกินตรงนั้นแหละ แม่ค้าน่ารัก + โจ๊กอร่อยด้วย
7.00
เห็นคนไปเข้าแถวจองตั๋วกัน เลยไปจองด้วย ...ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมคนเยอะจัง ..ที่ไหนได้คนลาวกลับประเทศล้วนๆ ท่าทางจะมาซื้อของกลับไปขาย แบบว่าของเต็มรถเลย แถมโวยวายกันยิ่งกว่าจีน เรากะต้องตาก็ดั๊นนนน ไปได้ที่นั่งหลังสุด กว่าจะฝ่าฟันไปได้ แทบตาย
รถที่นี่ work เหมือนกันนะ แบบว่าพอขึ้นรถก็แจกเอกสารขาเข้าขาออกให้เรียบร้อย พอไปถึงด่านเราก็ลงไปยื่นเอกสารกัน แล้วรถก็รอ แล้วสุดท้ายเอาไปส่งที่ตลาดเช้าของเวียงจันทน์เลย ..สะดวกมากๆๆ (พอยื่นเอกสารเข้าลาวเรียบร้อยนี่หลับสนิทค่ะ...ง่วงมากๆๆ)
คนเข้าประเทศลาว...เยอะมะ ?? ..คนลาวทั้งนั้นแหละ
9.30
(ปล. จากนี้ไปจะขอเล่าละเอียดหน่อย เพราะนั่งรถรอบนี้สนุกมากๆ)
ถึงตลาดเช้าที่เวียงจันทน์ ..ท่าทางตรงนี้จะเป็นท่ารถเมล์ด้วย ...คือเรากะต้องตาก็สะลึมสะลือจัดอ่ะนะ เดินเมาขี้ตาลงมาจากรถ สามล้อมามุงเต็มไปหมด
"ผู้สาวสิไปไส สามล้อบ่" บลาๆๆๆ
เราก็บอกไปว่าไปวังเวียงอ่ะนะ แต่เค้าก็ดูลังเลๆๆ เราเลยเดินไป เพราะก็พอจะเห็นรถเมล์ท้องถิ่นหลายคันที่เขียนว่าไปวังเวียง
มาถึงรถเมล์คันนึง กระเป๋ากำลังจัดกระเป๋าบนหลังคาแล้วตะโกนว่า "วังเวียงๆ"
แล้วก็หันมาหาพวกเรา ถามว่า "ไปวังเวียงบ่"
เราก็พยักหน้ากัน พี่แกก็ตอบกลับมาว่า "ขึ้นโลด"
พอขึ้นไปแล้วก็ยืนเซ่อกันอยู่ซัก 2-3 วิ คือรถมันก็โล่งอ่ะนะ แต่ประมาณว่า เบาะนั่ง 2 คนมันไม่ได้กว้างมากไง แล้วส่วนมากเค้าก็นั่งคนเดียวแบบสบายๆกัน แล้วไม่มีเบาะว่าง เรา 2 คนก็เลยมองหน้ากัน แล้วก็บอกว่ารอรอบหน้าละกัน แล้วก็เดินลง
....เท่านั้นแหละ ....
พอกระเป๋าเห็นเราเดินลง ก็ตะโกนลงมาถามเลยว่าทำไมไม่ไป เราก็เลยตะโกนตอบไปว่าคนมันเต็มแล้ว รอรอบหน้า ...พี่แกก็ลงมาจากหลังคาเลย แล้วลงไปทำไรในรถก็ไม่รู้ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ..คุณแม่ค้าขายไก่ที่เร่ขายอยู่ข้างรถก็ถามว่าทำไมไม่ไป
เราก็บอกว่า "คนเต็มแล้ว เดี๋ยวรอรอบหน้าก็ได้"
แล้วแม่ค้าคุณเธอก็แผดเสียงขึ้นมา (หรือพูดด้วยระดับเดซิเบลปกติก็ไม่รู้) ว่า
"บ่เห็นจะเต็มตรงไหนเลย เป็นอิหยังคือต้องรอรอบหน้า ไปรอบนี้โลด"
(พยายามนึกเป็นภาษาลาวหน่อยนะ ไม่รู้เขียนมาถูกรึเปล่า)
พอสิ้นเสียงเนี่ย คนบนรถเมล์ก็หันมามองเป็นตาเดียว เรากะไอ้ต้องก็อ๊าย อาย แต่ไม่รู้จะทำไง ก่อนหน้านี้เพื่อนไอ้ต้องที่เคยมาแล้วบอกไว้ว่า "พวกแกอย่าไปทำท่าทางโง่ๆที่ลาวอ่ะ อายเค้า".... ท่าทางจะไม่สำเร็จตั้งกะวันแรกแล้วอ่ะนะ เพื่อนนะ ..เหอๆๆๆ
ขณะที่กำลังเอ๋อๆเซ่อๆ ทำไรไม่ถูก คุณกระเป๋ารถเมล์ ก็ตะโกนออกมาบอกว่า
"เอ้า ขึ้นมาได้แล้ว รถว่างแล้ว"
..เอ่อ.... นาทีนั้นเนี่ย คงไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้แล้วอ่ะนะคะ ..เหอๆๆๆ
พอก้าวขึ้นรถปุ๊ป ..สรุปว่าเรากะต้องตาแยกกันนั่งอยู่ดี ต้องตานั่งเบาะหน้าเรากะน้องผู้ชายคนนึง เรานั่งข้างหลังกะลุงแก่ๆ ตอนที่กำลังกุลีกุจอจัดของกันอยู่เนี่ย คุณกระเป๋าก็พูดๆไปเรื่อยๆกะคนในรถเป็นภาษาลาว จับใจความได้ว่า
"เรานั่งรถเมล์ก็นั่งชิดๆกันหน่อย เค้ามาจากต่างบ้านต่างเมืองเห็นเรานั่งเต็มเบาะเค้าก็เกรงใจ พูดภาษาบ้านเราไม่ได้อีกใครจะไปกล้าบอกให้เราเขยิบ เราเห็นเค้าขึ้นมาก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีหน่อย เขยิบๆให้เค้านั่งซะ" บลาๆๆๆ
.....ทั้งรถมองเรากะต้องตาเป็นเป้าหมายเดียวกันอีกแล้วครับท่าน(^^').....
(แบบว่าก็อยากขอบคุณพี่กระเป๋าอ่ะนะ ใจดีซะขนาดนี้ ..แต่หนูอ๊าย อายค่ะพี่ เล่นมองกันทั้งรถเลย)
สภาพรถเมล์ท้องถิ่นที่เรานั่งกันมา
ย้ายมาดูข้างในกัน
พอดีว่าหนุ่มน้อยข้างๆต้องตาเนี่ย ช่างพูดมากๆๆๆๆ แบบว่าพอเริ่มเก็บของเข้าที่ก็ชวนคุยทันที แถมบางทียังอุตส่าห์หันหลังมาคุยกะเราอีก ... ประมาณว่าพ่อหนุ่มเนี่ย พอจะพูดภาษากลางได้ มีเพื่อนอยู่หนองคายหรือไงเนี่ยแหละ บ้านอยู่วังเวียงแต่มาทำธุระอะไรซักอย่างที่เวียงจันทน์ แล้วพ่อหนุ่มเนี่ยก็ชอบเที่ยวอีก (เลยชอบคุยกะนักท่องเที่ยวด้วยมั้ง)
"เราอ่ะชอบเที่ยว...แต่เราชอบไปเที่ยวแบบซนๆ ว่าจะข้ามไปเที่ยวไทยเหมือนกัน"
คำศัพท์น่าร๊ากกกกกมะ ?? เที่ยวแบบซนๆ (^^)
ตอนรถออกจากเวียงจันทน์ใหม่ๆนี่เค้าอธิบายข้างทางตลอดเลยนะ ว่าตรงนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ ตรงนี้รูปปั้นเจ้าเหนือหัว ฯลฯ แบบว่ารู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีจังแฮะ แล้วเค้าถามว่าพวกเราจะไปเที่ยวไหนกันมั่ง ก็ไม่สามารถตอบได้ค่ะ (อายมะนั่น) คุณน้องเลยแอบด่าเล็กน้อยว่า
"มาเที่ยวทั้งทีนี่ไม่ศึกษาอะไรมาก่อนมั่งเลยหรอ"
...เออน่า ..ก็มาเที่ยวอ่ะ
ส่วนคุณลุงข้างๆเหมือนจะอยากคุยแต่ขี้อาย เพราถามอะไรเรามาอย่างแล้วเราฟังไม่ออก แล้วตอบไม่ได้ ลุงเลยเงียบไปตลอดทางเลย ...ขอโทษนะลุง ข้อยบ่ได้ตั้งใจ Y_Y
คือเนื่องจากเมื่อคืนเนี่ย เราต้องเผชิญวิกฤตเสียงกรนจนนอนไม่หลับอ่ะนะ คราวนี้เราเลยง่วงมากๆ (เออ ลืมบอกไป ไปวังเวียงนี่ต้องนั่งรถตั้ง 3-4 ชม. แน่ะ) เราก็เลยหลับไปตามระเบียบโดยไม่มีอะไรมารบกวน ส่วนของไอ้ต้องเนี่ย มันก็นั่งสัปหงกๆอยู่ดีๆ พ่อหนุ่มช่างพูดก็สะกิด แล้วบอกว่า
"จะหลับก็ได้นะ อีกไกล"
ต้องตาตอบว่า "จ้ะ ขอบใจจ้ะ"
แต่ในใจคิดว่า "ตูหลับของตูอยู่แล้ว จะปลุกตูมาบอกทำไมฟะ???"
ซักพักต้องตาสัปหงกจัดๆๆแบบว่าจะตกเก้าอี้เลยอ่ะ (ตอนนั้นเราตื่นเลยเห็นพอดี) พ่อหนุ่มนี่ก็เลยปลุกต้องตาอีกรอบ แล้วเอามือมาแตะไหล่ตัวเอง แปะๆๆๆ แล้วบอกว่า "ซบได้"
555555555....ไม่ซบไหล่หนุ่มลาวซะหน่อยอ่ะเพื่อน ...อิอิ
แล่นรถไปซักพัก ลมเริ่มแรง เค้าก็เริ่มปิดหน้าต่างกัน พ่อหนุ่มเราก็จะไปปิดหน้าต่างให้ แต่ขอโทษ ..ไม่มีหน้าต่างค่ะท่าน ตรงเบาะไอ้ต้อง (ที่ลมมันจะตีหน้าเราด้วย) ไม่มีหน้าต่าง ไอ้ตอนที่กำลังอึ้งๆว่าแล้วทำไงดีอ่ะ ลมมันแรง คุณกระเป๋าก็เดินมาบอกว่า
"หน้าต่างมันไม่ค่อยดี เลยถอดทิ้ง" (--')
ว่าแล้วก้แก้ผ้าที่ผูกไว้ข้างบนมาเสียบกะตะขอที่อยู่ตรง 2 ข้างหน้าต่าง แล้วบอกพ่อหนุ่มเราให้จับผ้าตรงกลางเอาไว้ ..ประมาณว่าจะให้ผ้ากันลมแทน ...พ่อหนุ่มเราก็จับแต่โดยดี ไร้การโวยวายใดๆทั้งสิ้น
และแล้วพ่อหนุ่มของเราก็เลยต้องนั่งจับผ้าตลอดการเดินทาง....เหอๆๆๆๆ
เด็กนักเรียนพักเที่ยง กลับบ้านมากินข้าว
"เนี่ย ..เดี๋ยวเค้าจะมีให้แวะขี้แวะเยี่ยวด้วยนะ"
ต้องตาก็รับคำ แต่คงแสดงหน้าตาอึ้งไปเล็กน้อย ซักพัก พ่อหนุ่มคงคิดได้เลยบอกใหม่ว่า
"อ้อ ..ต้องเรียกว่าปัสสาวะใช่มั๊ย"
"ไม่เป็นไรจ้ะ ..เยี่ยวก็ได้" ....เหอๆๆๆ
หลังจากพี่แกบรรยายจบไม่นาน ข้อพิสูจน์ก็เป็นอันประจักษ์...อยู่ๆรถเมล์ก็จอดกลางเขาเลย (ปกติมีจอดเรื่อยๆอยู่แล้ว ตามหมู่บ้านให้คนลง ..แต่อันนี้กลางเขาเลยอ่ะ ไม่เห็นบ้านคนซักหลัง) ...ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรไปมากกว่านั้น กะเป๋าก็ตะโกนมาว่า
"เอ้า ...ผู้ใดปวดขี้ ปวดเยี่ยว ก็แวะขี้แวะเยี่ยวได้เด้อพี่น้องเด้อ"
เราก็สงสัยกันอย่างแรงว่าไปเข้าตรงไหนวะ ?? สรุปว่าผู้บ่าว ผู้สาวลาวก็ลงจากรถเดินไปไม่เกินคนละ 20 ก้าว แล้วไม่ต้องอาศัยที่กำบังใดๆทั้งสิ้น แค่หันหลังให้รถเมล์แล้วก็สามารถทำธุระได้ทันที
OH NOOOOOOOO !!!!!!
อึ้งไปเลยค่ะท่าน (คือไอ้ผู้บ่าวเนี่ย พอจะทำใจได้อ่ะนะ ว่าปล่อยได้ทุกที่ ..แต่ผู้สาวเนี่ย ถึงจะมีผ้าซิ่นบังไว้ คนบนรถไม่เห็นอะไรก็เถอะ แต่ซึ่งๆหน้าขนาดนั้น ก็ไม่ชินอ่ะนะ ...ประสบการณ์แปลกใหม่ดีมาก ..ประทับใจสุดๆๆ
พ่อหนุ่มเราก็ลงไปทำธุระของแกมานะ ..พอขึ้นรถได้ แกก็บอกว่า
"ถ้าปวดเยี่ยวก็ลงไปเยี่ยวได้นะ"
ก็ตอบไปว่า "จ้ะ ไม่ปวดจ้ะ"
แต่ในใจคิดว่า "ปวดให้ตายก็ไม่ลง" (ใครจะไปกล้าะอ่ะ ?? กลางวันแสกๆ ไม่มีที่บังอีก)
พ่อหนุ่มก็ตอบกลับมาว่า "ถ้าไม่ปวดตอนนี้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวปวดเมื่อไหร่ก็บอกให้เค้าจอดให้เยี่ยวได้"
...ตามสบายจ้ะพ่อ ..ไม่ไหวอ่ะนะคะ อันนี้....
พอมาถึงแหล่งชุมชนใหญ่ๆ ก็มีแม่ค้ามาขายของตามหน้าต่าง พ่อหนุ่มเราก็บอกว่า "เวลาเค้ามาขายของอย่างนี้นี่อย่าเอาหน้าออกไปนะ" ไอ้เราก็นึกว่า..อ้อ .. เดี๋ยวถ้าไปแสดงทีท่าสนใจแล้วเค้าจะมารุมมั้ง แต่แล้วพ่อหนุ่มก็บอกเหตุผลว่า
"บางทีเค้าขายของแล้วเค้ายื่นไม้มา จะทิ่มหน้าเรา ..อันตรายๆๆ"
(แบบว่าสีหน้าพ่อคุณจริงจังมากอ่ะนะ ..จะขำก็ขำไม่ออก เพราะมันก็เรื่องจริง แต่แบบว่า...ไม่เคยได้ยินใครพูดมั้ง)
นั่งรถนานมากๆๆๆอ่ะ พ่อหนุ่มเราบอกว่า
"เดี๋ยวรถจะไปจอดใจกลางเมืองเลย ..หาโรงแรมไม่ยากหรอก"
แล้วเค้าก็แวะลงก่อนถึงเมือง (มีการหันมาบอกอีกนะว่า "ขอตัวลงก่อนนะ ขอให้เที่ยวให้สนุก"...ขอบใจนะ พ่อคุ๊ณ...นั่งรถคันนี้ไม่มีน้องนี่ ไม่หนุกเลยนะเนี่ย)
แต่พอรถจอดแล้วกระเป๋าตะโกนบอกว่า "ถึงวังเวียงแล้ว" เนี่ย ..ทำเอาเอ๋อเซ่อไปอีกรอบ
...นี่ใจกลางเมืองบ้านมันหรอวะ ???...
คือรถเนี่ยมาจอดกลางลานกรวด..ใหญ่มากๆๆ (ตอนหลังมารู้ว่าตรงนั้นเค้าเรียกว่า"ลานบิน") มองไปรอบๆเห็นบ้านอยู่ลิบๆๆๆๆๆ แล้วคือแบบว่าตอนนั้นปวดฉี่จัดมากๆๆ ไม่สามารถเดินหาที่พักอย่างใจเย็นได้ แล้วโชคดีว่าก่อนจะมาโทรถาม trekking thai เค้าแนะนำ guest house ชื่อเคี่ยนทองมา เราเลยเรียกสามล้อไปที่นั่นเลยอ่ะ ...ยังไงๆขอเข้าห้องน้ำก่อนอ่ะนะ
14.00
เข้าสู่ที่พักเรียบร้อย ..ที่เคี่ยนทองนั่นแหละ แบบว่าห้องก็ดูโอเคไง ถูกด้วย เลยเอาเลย ขี้เกียจเดินหา พอเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อย ก็ออกตระเวนสำรวจเมืองกันเล้ยยย !!!
อันดับแรกหาที่แลกเงินก่อน...เดินไปเจอธนาคาร...แม่เจ้า ...สภาพธนาคารหรอนั่น แบบว่าไร้การรักษาความปลอดภัยอย่างแรง ...เรากะต้องตาแลกเงินกันคนละ 2,000 บาท (ได้ 520,000 กีบ) เสร็จแล้วก็เดินเที่ยวต่อทันที
ธนาคารส่งเสริมกสิกรรม...ที่แลกเงินของเรา
อันดับที่ 2 หาซื้อแผนที่ เผื่อจะช่วยให้เดินเที่ยวได้ง่ายขึ้นมั่ง (หาย๊าก ยาก แถมไร้ซึ่ง scale อย่างแรง แบบว่าในแผนที่นิดเดียว เดินโคตรนานกว่าจะเจอจุดหมายปลายทาง ..แต่ไอ้บางที่นี่ดูไกล๊ ไกล เดินไปปิ๊ดนึง ถึงละ ..เฮ้อ !!!)
อันดับสุดท้าย ก่อนดำเนินการเดินเที่ยว ...กินค่ะกิน ..หิวมากๆๆ นอกจากโจ๊กที่เข้าท้องไปตอน 6 โมงเช้าแล้ว ..ผ่านไป 8 ชั่วโมงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ยังอุตส่าห์เรื่องมากนะ .. 2 ข้างทางร้านเพียบ..ไม่กิน จะเอาที่บรรยากาศดีๆ ไปนั่งกินริมเขา ...ไปถึงก็ วิญญาณกล่องข้าวน้อยเข้าสิงตามฟอร์ม ...สั่งมาซะ ...(แต่ก็กินหมด ..เหอๆๆ)
เออ แต่แปลกนะ จะสั่งส้มตำกิน ไม่มีล่ะ ..อยากกินอาหารพื้นเมือง ท่าทางสั่งอะไรก็ได้ที่เป็นไก่ เพราะเมนูก็เหมือนไทยอ่ะ แต่เน้นไก่มากกว่า แค่นั้นแหละ
กินเสร็จก็เริ่มสำรวจตามแผนที่ค่ะ (ตอนนั้นยังไม่รับรู้ถึง scale อันดีเยี่ยมของแผนที่) ก็เริ่มจากเข้าซอยใกล้ๆไป หวังจะไปทะลุเลียบแม่น้ำ ... เอ..ในแผนที่ก็ไม่มีซอยนี่น่า ทำไมเดินไปเดินมาซอยเยอะจังแฮะ ว่าจะหันหลังกลับหลายรอบ เพราะดูบ้านนอกจัด แต่สุดท้ายก็ดั้นด้นไปต่อจนไปเลียบแม่น้ำเข้าจนได้ อิอิ
เค้าเขียนว่า barber อ่ะ ...แต่ท่าทางจะร้างมานานละ
ทางเดินไปเลียบแม่น้ำ (ทางเดินไปผับ!!!)
ที่นี่เค้าจะมีเกาะกลางแม่น้ำที่ในแผนที่เขียนว่าเป็น "relax zone" แล้วแบบว่าระหว่างทางก็เห็นป้ายเขียนว่าเป็นผับต่างๆนานๆชี้ไปไง ..เราก็เลยเดินไปดูซะหน่อย ...โอ้ แม่เจ้า จะไป relax zone ได้เนี่ย ต้องข้ามสะพานไม้แคบๆ (ประมาณว่าขากลับห้ามเมา ไม่งั้นตกแม่น้ำชัวร์!!!) แล้วพอหลุดจากสะพานไปก็เป็นดงกระต๊อบ ..ซึ่งคาดว่าจะเป็นดงผับลาวนั่นเอง..เหอๆๆๆ
ดงผับค่ะเพื่อนๆ ดงผับ...ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม
หลังจากชื่นชมดงผับกันซักระยะ ก็เดินต่อเรื่อยๆ ผ่านตลาดของป่า ซื้อไรไม่ได้ นอกจากผลไม้ ...ลองชิมส้มวังเวียงกันซะหน่อย (ส้มที่นี่แพงมาก ..หลวงพระบางถูกกว่าครึ่งนึงแน่ะ) แล้วเดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอสะพานใหญ่อีกอัน ..อันนี้ดูปลอดภัยหน่อย ก็เลยแวะไปชมซักนิดละกันนะ
สะพานข้ามลำน้ำซองที่คาดว่าแข็งแรงที่สุดละ
ถามชาวบ้านแถวนั้น เค้าก็ยืนยันว่าข้ามไปแล้วเป็นดงผับจริงๆ แต่ก็ประมาณว่ามีชาวบ้านอาศัยในนั้น ทำไร่ทำนากันด้วย ก็เลยมีคนข้ามสะพานนี้เรื่อยๆ (มีขี่จักรยานข้ามด้วยอ่ะ ดูแล้วเสียวแทน) ..มารูทีหลังว่าตรงนี้เรียกว่า แม่น้ำซอง มีล่องแพที่นี่ด้วยนะ แต่ต้องใช้เวลากัน 4 ชม. ..เราก็ไม่ทันแล้วอ่ะนะ แถมอากาศยังเย็นๆอีก ไม่อยากโดนน้ำมาก หนาว เลยขอเดินดูแทนละกันนะ
คนที่เค้าไปถามเรื่องที่ล่องแพเล่าว่า ..เค้าก็จะเอาเราไปส่งที่ต้นแม่น้ำ แล้วก็เลือกว่าเราจะนั่งห่วงยาง หรือเรือยาง ..ถ้าเรือยางเนี่ยก็มีคนของเค้าอยู่ด้วยพามา ถ้าห่วงยางเนี่ยก็ห่วงละคน แล้วก็เอาก้นหย่อนห่วงแล้วก็ล่องมาตามกระแสน้ำตามบุญตามกรรม ไม่มีคนนำใดๆทั้งสิ้น
เค้าบอกว่า
"ก็ล่องตามน้ำมาเรื่อยๆแหละ เดี๋ยวก็ถึงเอง มันมีที่กั้น ไม่หลงหรอก"
"อ้าว แล้วถ้าหลงอ่ะ"
"ก็รอซักพัก เดี๋ยวก็มีคนตามไปเก็บเอง"
....เหอๆๆๆๆ ดีละที่เราแค่เดินดู
ลำน้ำซองฝั่งซ้าย
ลำน้ำซองฝั่งขวา
เที่ยวริมแม่น้ำเสร็จ ก็แวะไปรษณีย์ ซื้อโปสการ์ดกะแสตมป์ส่งกลับมาซะหน่อย เสร็จแล้วก็กลับที่พัก เพราะเหนื่อยแล้ว ..ตอนนี้แหละที่รู้ว่าแผนที่มัน Not to scale อย่างแรง ..ในนั้นที่พักเราไม่เห็นไกลเลยอ่ะ ..ตอนขามาก็แวะนู่นแวะนี่ตลอด ไม่รู้สึกไร แต่พอขากลับเนี่ย ถึงเพิ่งรู้ว่าอยู่ไกลมากกกก คนละมุมเมืองเลย ...กลับถึงที่พักได้จะเป็นลม ...เดียร์น้อยหลับทันทีค่ะ ..เหอๆๆ ไม่ได้ตั้งใจนะ แต่พอหัวถึงหมอนแล้วสลบเลย แต่ซักพักก็ตื่นละ อาบน้ำ อาบท่าเรียบร้อย แล้วก็ไปหาไรกินอีกรอบ
18.00
2 คนอาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อย แต่ยังไม่หิวเลยอ่ะ ตอนแรกว่าจะไปเดินตะลุยราตรีซะหน่อย แต่เท่าที่ดูมาแล้วตอนกลางวัน กะสภาพร่างกายตอนนี้ ท่าทางว่าไปหาไรกลับมากินที่ที่พักน่าจะดีสุด ..สุดท้ายเลยไปซื้อไก่ย่างกะเบียร์มานั่งกิน (มาลาวทั้งที ขอลองเบียร์ลาวหน่อยน่า)
เสร็จแล้วก็นั่งเขียนโปสการ์ด ระหว่างนั้น ลุงเคี่ยนทอง เจ้าของที่พักมานั่งคุยด้วยแปปนึง แล้วเสร็จละก็ไม่มีไรทำละ เลยไปนอนคุยกะต้องตาในห้อง (ประมาณว่าความขี้เกียจชนะทุกสิ่ง ..ไม่มีแรงขยับไปสำรวจดงผับยามราตรี)
พรุ่งนี้เราต้องขึ้นรถไปหลวงพระบางตอน 9.30 ไง ก็คุยกะต้องตาว่า เดี๋ยวซัก 6 โมงตื่นกัน แล้วไปหาไรกินในตลาด น่าจะเสร็จประมาณ 8.30 แล้วจะได้มาเตรียมตัวขึ้นรถสบายๆ ไม่ต้องรีบ ...อันนี้เป็น ideal ที่อยากให้เป็นอ่ะนะ แต่ด้วยความที่รู้นิสัยกันเแนอย่างดี ก็เลยมีแผน 2 สำรองไว้ ...คือถ้าเราไม่ตื่นเนี่ย ซัก 7 โมงค่อยตื่น 8 โมงคงทำไรเสร็จ แล้วก็กินมาม่ากะกาแฟกันที่นี่แหละ(เตรียมมาพร้อม) พอซัก 8 โมงครึ่งก็เดินไปท่ารถเลย จะได้จองที่ได้ด้วย เหอๆๆๆๆ
นอนคุยกันไปคุยกันมา ....หลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แฮะ
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
<< Home