= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันเสาร์, ธันวาคม 02, 2549

Angkor Wat 1 : สุวรรณภูมิ - เสียมเรียบ - พนมกุเลน - ตลาดซ่าจ๊ะ

วันนี้นัดกันแต่เช้าาาาา เจอกัน ตีห้าครึ่งที่สุวรรณภูมิ แต่เนื่องจากสนามบินใหม่อยู่ไกลจัด เลยต้องออกจากบ้านตั้งกะตีสี่ครึ่ง ...ถึงที่นัดหมายทันเวลาพอดิบพอดี ...สนามบินโคตรใหญ่ ทางเข้าก็ดูแบบว่าอลังการงานสร้างมาก ...เอาเสาไฟฟ้าไปติดตามบ้านนอกซักครึ่งนึงก็ไม่ทำให้แถวนั้นมืดลงไปได้ซักเท่าไหร่หรอกมั้ง ..(เห็นแล้วแอบเสียดายภาษีตะหงิดๆ)

ทัวร์บอกว่าจะมีป้าย Claris โชว์อยู่ ไอ้เราก็มองหากระดาษแข็งตามรถเข็น ..ที่ไหนได้ มาเป็นเสาตั้งเลย 555 (อ้อ ลืมบอกว่าพี่ Ed sms มาตอนเช้าว่า accident เล็กน้อย เลยไปด้วยไม่ได้ ...เสียดายจัง Y_Y)


ป้ายสุดเดิ้น ของ My journey

อยู่ได้ไม่นาน ก็เคลื่อนทัพเข้า gate พอเข้าไปปุ๊ปก็เจอรูปปั้นอลังการของกองทัพเทพ และกองทัพยักษ์ฉุดนาคเพื่อกวนเกษียรสมุทร ... แอบไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกะสุวรรณภูมิตรงไหน ???

จะเล่าตำนานให้ฟังนิดนึงละกันนะ เรื่องของเรื่องก็คือว่าพระอินทร์ไปเจอฤาษีเฒ่าสาปว่าไปรบกะใครขอให้แพ้ แล้วหลังจากนั้นก็แพ้ตลอด เลยไปขอพรเทวดา (คาดว่าพระพรหม) ให้ช่วย แต่ไม่รู้ว่าจะแก้คำสาปยังไง เลยวางแผนให้นำอนันตนาคราชมาพันรอบเขามันทระของพระนารายณ์แทนเชือก แล้วนำมากวนทะเลเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตออกมาซึ่งใครได้กินเข้าไปก็จะไม่ตายแทน

คราวนี้ลำพังเทวดาเองก็กำลังไม่พอ เลยต้องไปขอร้องฝ่ายยักษ์ โดยออกอุบายว่าเมื่อกวนได้แล้วก็จะแบ่งให้กินด้วย ยักษ์ก็เลยมาช่วยแต่....แผนเทวดาไม่ใช่แค่นั้น สังเกตตำแหน่งว่ายักษ์จะอยู่ด้านหัวพญานาคทั้งหมด แต่เทวดาจอยู่ด้านหาง เพราะว่ากวนๆไปพญานาคจะคายพิษ ดังนั้นพอกวนเสร็จ ยักษ์ก็จะหมดฤทธิ์ไม่มีแรงสู้เทวดา มองดูเทวดาดื่มน้ำอัมฤตไปจนหมดต่อหน้าต่อตานั่นแหละ

ทีนี้ใครพอจะตอบได้มั่งว่ามันเกี่ยวไรกะสนามบิน ???


รูปปั้นยักษ์กะเทพกวนน้ำอมฤต

เดินไปชาติกว่ากว่าจะเจอ burger king (หิวมาก ไม่กินไม่ได้) กินเสร็จก็เดินอีกชาตินึงไปเข้าห้องน้ำ (เปลี่ยวอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆด้วย) แล้วก็เดินไปขึ้นรถแล้วก็แล่นอยู่ในสนามบินอีกเกือบชาติไปขึ้นเครื่อง สนามบินออกใหญ่โต ประตูเข้าเครื่องมันไม่พอหรอไงก็ไม่รู้แฮะ ...แต่นั่นแหละ สุดท้ายก็ขึ้นเครื่องจนได้


Duty Free สุดอลัง (เสียดายไม่ได้ถ่ายห้องน้ำมา ...แล้วจะเห็นถึงความซุปเปอร์แตกต่าง)

1 ชม. ผ่านไปไวเหมือนโกหก (เพราะหลับ) ก็ถึงเสียมเรียบโดยสวัสดิภาพ สนามบินคนไม่เยอะดี มองออกไปข้างนอกเหมือนรีสอร์ทน่ารักๆ ผิดกะสนามบินที่เราเพิ่งออกมาอย่างสิ้นเชิง พอเดินออกมาก็เจอไกด์ที่ใส่เสื้อเหมือนกันไปหมดมารอรับคณะทัวร์แน่ะ


เครื่องบินสีสดใสมากๆ ท้องฟ้าก็สวยสุดๆ


ป้ายสนามบิน


ถ่ายจากตรงที่รอกระเป๋า ... สนามบินเค้าเหมือนรีสอร์ทมะ ??


อันนี้ระหว่างเดินไปขึ้นรถละ


รถคู่ใจที่พาเราตะลุยเขมร 3 วัน 2 คืน

พี่ไกด์เราชื่อ วรรณะ (จริงๆอายุเท่ากัน) ส่วนพี่คนขับชื่อพี่ฮอง (ลืมถ่ายรูปแฮะ)

ออกจากสนามบิน เราก็แวะเอากระเป๋าไปไว้ที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยออกเดินทางไปเทือกเขาพนมกุเลน ระยะทางจากตัวเมืองไปประมาณ 70 กม. แต่ทางที่ไปนี่ซุปเปอร์กระดอน ไม่สามารถนอนได้อย่างเป็นสุข


พี่ไกด์

พี่ไกด์พยายามจะอธิบายประวัตความเป็นมา แต่เนื่องจากตื่นมากันเช้าจัด เลยหลับกันโดยถ้วนหน้า ...เท่าที่จำได้ก็คือว่าพื้นที่แถบนี้เป็นพื้นที่เริ่มต้นของเมืองหลวงที่เรียกกันว่า "เมืองพระนคร" โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 แล้วก็เป็นแหล่งหินสำคัญที่เค้าเอาไปสร้างปราสาทต่างๆของขอมโบราณอีกด้วย

พอเข้าไปถึงใจกลางๆแล้วจะเห็นซากปราสาทเล็กๆน้อยๆมากมาย (เล็กๆน้อยๆจริงๆ บางอันไม่นึกว่าเป็นปราสาทมาก่อน) ที่แรกที่เราจะไปคือ วัดพระองค์ธม (หรือว่าวัดพระองค์ใหญ่) ซึ่งพี่ไกด์พาเราไปดู 3 อย่างด้วยกัน คือ

  1. รอยพระพุทธบาท รู้สึกว่าจะจำลองมาจากไหนซักที่นะ (ไม่แน่ใจ)
  2. พระนอนองค์ใหญ่ (เข้าใจว่าคือพระองค์ธมนั่นเอง) เป็นพระที่แกะสลักอยู่บนหินก้อนใหญ่ สูงขนาด 10 เมตร กว้าง 7 เมตร สร้างในสมัย พระเจ้าศรีสุคนธบุตรและพระเจ้าองค์จันทร์ที่ 1 -- ไกด์บอกว่าให้สังเกตที่ตากับสะดือของพระพุทธรูปซึ่งจะมีพลอยประดับอยู่ เป็นการแสดงอำนาจของพระราชาหรืออะไรซักอย่างเนี่ยแหละ (ไม่แน่ใจอีกรอบ -- แบบว่าทัวร์นี้แอบไม่แน่ใจเยอะ เนื่องจากข้อมูลแน่นจัด จดไม่ทัน ฟังไม่ทันอย่างแรง)
  3. รูปปั้นศิวลึงค์ กะฐานโยนี ซึ่งถ้าไปวัดของศาสนาพราหมณ์ ฮินดูนี่จะเจอทุกที่อยู่ละล่ะ (แต่ว่า ถ้าจำไม่ผิดแล้ว ศิวลึงค์เหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของพระสิวะโดยตรงแฮะ)
    ความเชื่อของเค้าเชื่อกันว่า น้ำที่ไหลผ่านศิวลึงค์จะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นตรงฐานโยนีส่วนใหญ่จะมีท่อให้น้ำไหลออกไปด้วย ซึ่งทั้งหมดมักจะหันหน้าไปในทิศเหนือ ( จำไม่ได้ว่าทำไม)


ลงจากรถแล้วต้องเดินผ่านชุมชนไปนิดหน่อย


ทางเข้าวัดพระธม


บันไดรูปครุฑขี่นาคซึ่งเป็นศิลปะแบบบายัน



รอยพระพุทธบาท


ฐานพระธมที่ว่าสูง 10 เมตร


พระธมยาว 7 เมตร

ถัดจากวัดพระธมมา พี่ไกด์ก็พาเราไปดูศิวลึงค์ใต้น้ำต่อ ซึ่งแม่น้ำสายนี้เรียกกันว่า แม่น้ำสหัสลึงค์ (สะกดถูกรึเปล่าไม่รู้) ความหมายก็ประมาณว่าศิวลึงค์พันองค์นั่นแหละ

จุดเด่นของแม่น้ำนี้ก็คือมีรูปสลักศิวลึงค์จำนวนมากอยู่ใต้แม่น้ำนั่นแหละ ...เพราะจากที่เชื่อกันว่าน้ำที่ไหลผ่านศิวลึงค์จะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ การที่มีอยู่องค์เดียวที่วัดพระธม ก็ทำให้การเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ไม่พอ และไหนๆ ตรงนี้ก็เป็นต้นแม่น้ำเสียมเรียบที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวเมืองแล้ว กษัตริย์ก้เลยมีบัญชาให้สร้างศิวลึงค์ใต้น้ำไว้ซะเลย ชาวเมืองจะได้ใช้น้ำจากแม่น้ำเสียมเรียบได้ สะดวกดี

นอกจากศิวลึงค์นับพันแล้ว ยังมีรูปสลักของนารายณ์บรรทมสินธ์ด้วย โดยเป็นลักษณะของพระนารายณ์นอนอยู่บนบัลลังก์นาค และมีพระแม่ลักษมีนวดขาให้ (แต่ตรงนี้แอบมองไม่ค่อยเห็น ไปดูที่น้ำตกจะเห็นชัดกว่า)

วิธีการก่อสร้างเนี่ย คือเค้าจะปิดแม่น้ำทีละครึ่ง เช่นปิดน้ำฝั่งซ้ายก่อนแล้วสลัก พอสลักฝั่งซ้ายเสร็จค่อยเปิดฝั่งซ้ายมาปิดฝั่งขวาแทน ...คนโบราณนี่เก่งเนอะ !!!!!


พี่ไกด์วาดรูปลักษณะของการสร้างศิวลึงค์ให้ดู


ก็คือมีอันหลักตรงกลาง แล้วมีรอบๆ กี่อันก็ว่าไป (มีหลายแบบ)


ศิวลึงค์ใต้น้ำ


อันนี้กำลังพยายามชี้ให้เห็นรูปนารายณ์บรรทมสินธ์
(ที่ดูยังไงก็ดูไม่ออก)

ดูศิวลึงค์ใต้น้ำเสร็จ ก็ย้ายไปกินข้าวที่น้ำตกพนมกุเลนกัน ตอนแรกเตรียมเสื้อผ้ามาเล่นด้วย แต่แบบว่ามาถึงที่แล้วไม่กล้า แค่เดินไปกินข้าวริมน้ำตก (แบบที่คนอื่นๆเค้าทำกัน) ยังแอบรู้สึกว่าเป็นเป้าสายตาเลย แล้วแบบว่าเหมือนการเล่นน้ำตกที่นี่ได้บรรยากาสอาบน้ำริมคลองไงไม่รู้ แบบป้าๆยายๆนุ่งผ้าถุงมานั่งแช่น้ำ แล้วเลยไม่ค่อยมีที่ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอ่ะ ...กินข้าวเฉยๆดีกว่าแฮะ

น้ำตกไม่ใหญ่มาก(แต่ดูอลังการกว่าน้ำตกเทวีที่เนปาล 555) บรรยากาศร่มรื่นดีนะ คนเยอะ แต่ก็ดูสะอาดดี


สถานที่กินข้าวเที่ยวของเรา
(พอเราขึ้นไปนั่งปุ๊บก็มีชาวบ้านนับสิบมายืนมุง ...ไม่เข้าใจ)


วันนี้กินข้าวกล่องไปก่อนนะจ๊ะ



รูปปั้นนารายณ์บรรทมสินธ์ ... อันนี้เห็นัดหน่อย


เห็นคนใส่ชุดแปลกๆเลยวิ่งไปดู ...ที่ไหนได้ คนไทยนี่หว่า !!!


ถ่ายรูปรวมซะหน่อย

หมดไปละ ครึ่งเช้า (จริงๆบ่ายอ่อนๆละ) เดี๋ยวต้องเชิญชะตากรรมกะหนทางซุปเปอร์กระดอนอีก 1 รอบก่อนจะฝ่าฟันไปถึงตัวเมือง (แต่ก็หลับอยู่ดี) 555

ขากลับหลังจากพ้นหนทางหฤโหดมาแล้ว พี่ไกด์ก็ให้แวะเที่ยวปราสาทแปรรูปก่อน (จริงๆแล้วแวะให้เข้าส้วมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน ... ห้องน้ำสะอาดสุดๆ ทำดีจังแฮะ) แต่แค่แวะด้านนอกเฉยๆนะ ไม่ได้เข้าไปข้างใน

เพียงแค่ชั่วพริบตา พี่ไกด์ก็บรรยายไปได้มากโขว่า "แปรรูป" ในความหมายของกษัตริย์ คือการแปรรูปจากคนไปสู่เทพ ซึ่งปราสาทนี้ก็เป็นที่ทำพิธีศพของพระราชานั่นเอง (แต่ว่ากษัตริย์แต่ละองค์ก็จะมีปราสาทประจำของตัวเองนะ ไม่ใช่ว่าทุกคนมาทำที่นี่ เพียงแต่ว่าชื่อของปราสาทนี้คือปราสาทแปรรูปเท่านั้นแหละ เจ้าขององค์จริง คือ พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 )

เรื่องพิธีการทำศพของกษัตริย์เนี่ย มี 4 แบบ คือ เผา ฝัง ลอยน้ำ กับเอาไปไว้ในป่าให้สัตว์กิน แต่ส่วนมากจะนิยมเผากัน เหมือนพอเผาเสณ้จแล้วจะให้พราหมณ์มาวาดรูปคนบนขี้เถ้าใหม่ (ถือว่าเป็นการสร้างร้างเทพให้) แล้วค่อยเอาน้ำราด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำไปเพราะความเชื่อบางอย่าง แต่แอบจำไมได้แล้วแฮะ ว่าเชื่อว่าอะไร


ปราสาทแปรรูป


ถ่ายออกมาแล้วแอบมืดแฮะ (Y_Y)

หมดจากปราสาทแปรรูป ก็ไปวัดใหม่หรือที่เค้าเรียกว่า The Killing field คือเป็นที่เก็บกระดูกชาวบ้านตอนสมัยเขมรแดงยึดอำนาจ

คร่าวๆคือมีสมัยนึงที่เขมรพยายามจะเป็นคอมมิวนิสต์ นำโดย Pol poj ซึ่งไปเรียนเมืองนอกแล้วเอาแนวคิดนี้กลับมา ตอนนั้นหลังจากยึดอำนาจได้แล้วเนี่ย ก็เผด็จการทุกอย่างให้ชาวบ้านทำงานหนัก แต่ให้กินข้าวนิดเดียว ใครขโมยข้าวกินก็ฆ่า ใครหมดแรงก็ฆ่า ใครดูมีความรู้หน่อยก็ฆ่า แบบว่าเป็นช่วงแห่งการฆ่าๆๆๆ ถ้าจำไม่ผิด 3 ปีจะตายไป 3 ล้านคน . ตรงที่เรามานี่ก็เป็นสถานที่เก็บกระดูกแหละ (กองกระดูกเยอะมาก แอบน่ากลัว ไม่กล้าถ่ายรูปใกล้ๆ กลัว)


มีบอร์ดติดรูปบุคคลสำคัญประกอบการบรรยาย


ข้างในมีหัวกะโหลกเต็มไปหมด ..แอบกลัว

จากนั้นก็เข้าตัวเมืองไปตลาดซ่าจ๊ะ ...เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นตลาดที่คลับคล้ายคลับคลาตลาดบ้านเรา ก็เลยขอเวลาไกด์ซักชั่วโมงนึงแล้วค่อยนัดเจอไปกินข้าว ...แต่พอลงไป 15 นาทีเท่านั้นแหละ ..ไม่มีที่เดินแล้ว แบบว่าของมันเหมือนกันเกือบทุกร้าน แล้วก็ไปเหมือนเมืองไทยยังไงยังงั้น ไม่มีอะไรให้ซื้อได้เลย สุดท้ายก็เลยไปต่อรองสามล้อ (ที่นี่เรียกว่าเรือเหาะ) ให้พาเที่ยวรอบเมืองแทน

และแล้วก็ถึงเวลาจนได้ (ค่อยยังชั่ว) ..ได้ลิ้มลองอาหารเขมรเป็นมื้อแรก ...โอ้ แม่เจ้า ...ไม่ต่างอะไรจากเมืองไทยเลย Y_Y อ้อๆๆๆ มีห่อหมกที่ดูข้นน้อยกว่านิดนึง นอกนั้นนี่เหมือนกันเกือบหมด แต่ก็โอเคนะ อร่อยดี


มุมนึงของตลาด


ซาลาเปาขอม (อร่อยดีนะ)


นั่งสามล้อชมเมือง


ร้านอาหาร


คนกินอาหาร

หมดไปละ 1 วัน ....พรุ่งนี้ต้องออกจากโรงแรมตี 5 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น .... แค่คิดก็ง่วงแล้วววววว อ้อ ลืมบอกไปว่าโรงแรมที่พักชื่อ City Angkor


บรรยากาศห้องนอน

ปล. ขอเพิ่มเติมคำศัพท์เล็กๆน้อยๆ

Angkor แปลว่าเมือง
วรมัน ที่ต่อท้ายกษัตริย์แทบทุกองค์ที่กล่าวถึงคือราชวงศ์ของเค้า แปลเป็นภาษาไทย แปลว่า " เสื้อเกราะ"

อ่านตอนต่อไป >>>>>