= TaLonGirls = by KeawZaaa & ^^Dear^^

วันอาทิตย์, ธันวาคม 03, 2549

Angkor Wat 2 : นครวัด ปราสาทพระขรรค์

3.12.06: นครวัด ปราสาทพระขรรค์


วันนี้ก็ตื่นแต่เช้าอีกเหมือนเดิม เพราะว่าต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด แล้วก็กะว่าเที่ยวในนั้นต่อเลยแล้วค่อยออกมาหาไรกินแถวนั้น

ออกจากโรงแรมตอนตีห้า ตอนไปถึงยังมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลย แอบนึกว่าคนจะน้อย ที่ไหนได้ พอเข้ามาข้างในแล้วคนก็เยอะเหมือนกัน

มืดมากๆ ด้วยกำลังกล้องที่มีอยู่ก็ไม่สามารถถ่ายอะไรให้เห็นได้ท่าไหร่ ..เท่าที่ถ่ายมารูปมัวกระจาย ..ไม่ค่อยสวยเลยแฮะ


รูปนครวัดที่ถ่ายออกมามืด+มัวจัด (แต่ก็ยังถ่ายมาซะเยอะ)


ย้อนมาถ่ายทางเข้าค่อยสว่างขึ้นหน่อย (แต่ก็ยังมัวอยู่ดี)

ยืนออกันอยู่หน้าประตูนานไปหน่อย ไม่รู้ว่าเดินเข้าไปได้ พอเริ่มสว่างรำไรๆ พอจะถ่ายรูปชัดขึ้นมาหน่อย พี่ไกด์ก็เริ่มพาเดินเข้าไปละ .... ระหว่างทางก็หนีไม่พ้นการบรรยาย ..เค้าบอกว่าการสร้างปราสาทในยุคนั้นเนี่ย จะสกัดหินออกมาเป็นก้อนๆแล้วต่อกัน ส่วนไหนที่มีการชำรุดก็จะร่อนหินส่วนนั้นออก แล้วสกัดหินใหม่เข้าไปแทน ...จนถึงตอนนี้ก็ยังพยายามจะทำแบบนั้นอยู่ เพราะว่าถ้าเทปูนเข้าไปมันจะเสียความโบราณไป (แต่แบบว่าแอบดูไม่ออกเฮะ ว่ามันแตกต่างกันยังไง ^^')


มุมนี้พี่ไกด์จัดให้ .....


ขออีกรูปๆๆ

มาแวะถ่ายรูปกันตรงสระน้ำหน้าวัดนิดนึง ...ตรงนี้มุมสวย ถ้ามาเร็วๆเจอมุมดีๆ ก็จะถ่ายรูปเป็นพระปรางค์ที่ยังสมบูรณ์เต็มๆอยู่ได้ แต่ตอนนี้คนเยอะละ ..ถ่ายได้แค่นี้แหละนะ
เดิมทีที่นครวัดจะมีพระปรางค์ทั้งหมด 9 ยอด แต่ตอนนี้เห็นแบบสมบูรณ์แค่ 5 องค์ ส่วนที่เหลือคืออีก 4 มุมรอบนอกออกมาอีก ที่ตอนนี้เสียหายไปหมดแล้ว


ตรงนี้เป็นมุมที่ควรจะเห็นพระปรางค์ 10 ยอด ที่สะท้อนจากสระน้ำ


มุมเดียวกันแต่ถ้ายให้เห็นฟ้าสวยๆ ...พระเอาทิตย์เริ่มขึ้นมาละ


สาวๆ Claris แบ่งเป็น set สูง กะ set เตี้ยอย่างชัดเจน (^^)
ถ่ายคนดูพระอาทิตย์มั่ง


ขอระหว่างเดินทางเข้าปราสาทอีกรูปนึง

ประวัตินครวัดนี่เป็นไงไม่รู้แฮะ รู้แต่ว่าสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อเป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ (มั้ง) ...กษัตริย์ของเขมรเนี่ย แต่ละสมัยจะต้องสร้างปราสาทประจำรัชกาลขึ้นมาเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของตนเอง คราวนี้ถ้าในสมัยตนเองสร้างไม่เสร็จเนี่ย กษัตริย์องค์ต่อไปก็จะไม่สร้างเติมให้ จะปล่อยไปเลย (แต่ถึงจะเรียกว่าเป็นปราสาท แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นศาสนสถานสำหรับทำราชพิธีต่างๆเท่านั้นแหละ ไม่ได้พักอยู่ที่ปราสาทนี่)


ระหว่างกำแพงปราสาทกับตัวปราสาท


เข้ามาในปราสาทชั้นแรก ก็จะมีรูปสลักเต็มไปหมด ฝั่งแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับรามเกียรติ์ หรือเป็นสมัยที่พระนารายณ์อวตารเป็นปางที่ 7


ฝั่งที่ 2 ก็จะเป็นเรื่องราวของพระกฤษณะ ซึ่งเป็นนารายณ์อวตารปางที่ 8 ... เรื่องนี้คนไทยเราคงไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่มั้ง แอบจำเนื้อเรื่องที่ไกด์เล่าไม่ได้ด้วยแฮะ ...เล่าไม่ได้ (^^")


อีกฝั่งนึงก็เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ขอมมั้ง เพราะมีรูปสลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัดอยู่ด้วย

ขอเล่าเรื่องวิธีการสร้างปราสาทหน่อย .....คือว่าเค้าจะเอาหินมาเป็นก้อนๆจากเทือกเขาพนมกุเลน แล้วก็วางเป็นโครงปราสาทขึ้นมา โดยการที่เอาหินมาประกบกันเนี่ย ไม่มีวัสดุใดๆมายึดเลย แค่ขัดหิน ให้มันวางทับกันได้พอดีแค่นั้น (ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมั่งคงได้ขนาดนี้) ...จากนั้นพอวางหินเป็นตัวอาคารเรียบรอ้ยแล้ว ก็จะวาดลายคร่าวๆเป็นลายสำหรับแกะสลัก แล้วค่อยแกะสลักตรงฝาผนังนั่นเลย ..ไม่ใช่ว่าแกะทีละก้อนแล้วค่อยมาวางซ้อนนะ


ลวดลายแกะสลักตามเสา


นางอัปสร ... จะเห็นได้ว่านมเงามาก เพราะมีคนไปลูบเยอะ (^^)


อันนี้เป็นภาพวาดรอการแกะสลักแบบเต็มๆ


จะเห็นรูตามกำแพงเป็นช่วงๆ เพราะว่ามีการสกัดออกไปซ่อม
แล้วพอช่วงสงคราม แรงระเบิดทำให้มันหลุดออกมา


พี่ไกด์บรรยายไปเรื่อยๆ เราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆเหมือนกัน
(มาคราวนี้แอบมัวแต่ถ่ายรูป ไม่ค่อยได้ฟังเลยแฮะ)



ทางเดินทอดยาว......


แวะถ่ายรูปเล่นซักหน่อย


มุมนี้ถ่ายออกไปนอกปราสาทเป็นมุมกว้างดี


ผลงานจากรูปก่อน



เดินมาชักเหนื่อยก็ขอนั่งฟังแทน



ทางเดินรอบๆ (ที่ไม่ได้เดินต่อ)

เดินฝั่งนี้ได้ไม่ครบรอบ แล้วก็เดินขึ้นชั้นที่ 2 ต่อ ...ตอนขาขึ้นเป็นบันไดไม้ต่ออย่างนี้ เดินสบาย (แอบนึกว่าไม่ต้องขึ้นบันไดชันๆแบบไอ้อิ๋วละ) ชั้นนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก เป็นพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่รอบตัวอาคาร แต่ส่วนมากจะถูกตัดเศียรออกไปละตั้งแต่ช่วงสงคราม (แย่จัง)


บันไดขึ้นไปชั้น 2


พระพุทธรูปที่ถูกตัดเศียรไปแล้ว


รอบๆชั้น 2 จะสว่างขึ้นมาหน่อย


กองซากหินเต็มไปหมด

และแล้วก็หนีบันไดสุดชันไปไม่พ้น ..จะเดินขึ้นชั้นที่ 3 ยังไงๆทางนี้ก็ง่ายสุด ตอนแรกอิ๋วบอกว่าตอนขาขึ้นไม่มีอะไรจับ แต่ดชคดีตอนนั้นไม่ค่อยมีคน เลยแอบไปอาศัยราวปีนขึ้นไปด้วย ..เหอๆๆๆ กลัวความสูง พอขึ้นไปถึงก็ขาสั่นพั่บๆเลย ...แต่มองจากข้างบนไปแล้ววิวสวย ..คุ้มๆๆ


บันไดทอดยาวสู่ชั้นที่ 3


ตะเกียกตะกายกับบันไดแคบๆ


กระนั้นก็ยังมีคนปีนมาจากทางอื่น ..เหอๆๆ


บริเวณรอบๆชั้นที่ 3

ศิลปะขอมเมื่อยามรุ่งเรือง ...


ถ่ายออกจากชั้นที่ 3 ไป สวยดี


รูปนางอัปสรา ...อีกแล้ว (ที่ขอมนี่อัปสราเยอะมาก)


อันนี้เหมือนจะไต่ลงมาที่ชั้น 2 ละ


ก่อนจะลานครวัดไป มาถ่ายรูปรวมซะหน่อย


หันหลังกลับไปถ่ายมั่ง


คูเมือง (โคตรกว้าง )

เสร็จแล้วก็ออกไปกินข้าวเช้า (จริงๆยังเดินไม่ค่อยทั่ว ถ่ายรูปยังไม่สะใจเท่าไหร่ แต่หิวกันแล้ว เลยเดินออกมาหาอะไรกินกันแทน)


ที่นี่เลย ...อยู่หน้านครวัดเด๊ะ

เสร็จจากมื้อเช้า ก็เดินทางต่อไปนครธมกันเลย....

"นครธม" เนี่ย จะแตกต่างจากนครวัดคือ (เท่าที่เข้าใจนะ) นครวัดเป็นแค่ศาสนสถานแห่งนึงเท่านั้น แต่นครธมเนี่ย โดยจุดประสงค์ของการสร้างจะเป็นเมืองมากกว่า ภายในนครธมก็จะมีอยู่หลายปราสาทด้วยกัน (นครธมสร้างขึ้นหลังนครวัดหลายสมัยอยู่)

ลักษณะของนครธมก็คือจะมีกำแพงเมือง แล้วก็มีประตูเข้าเมือง 4 ทิศ (แต่มี 5 ประตูโดยทิศตะวันออกจะมี 2 ประตู ซึ่งประตูแต่ละแห่งก็จะถูกกำหนดไว้เลยว่าให้ใครเข้า เช่นกษัตริย์เขาตะวันออก พราะหมณ์เข้าเหนือ ฯลฯ >> อันนี้ไม่แน่ใจว่าใครเข้าด้านไหนนะ แต่มีกำหนดชัวร์ๆ) มีคูน้ำล้อมรอบ

ประวัติคร่าวๆก็คือว่า ...เดิมทีขอมมีเมืองหลวงชื่อเมืองพระนคร (ซึ่งคาดว่ากินอาณาเขตของนครวัดไปด้วย) แล้วช่วงนั้นขอมกับจามปาก็มีสงครามกันมาโดยตลอด จนในที่สุดพอถึงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เหมือนจามปาจะสงบลงได้หน่อย แต่สุดท้ายคือจามปาวางแผนให้ทำทีเป็นเอาเรือสินค้ามาเทียบท่าที่เมืองพระนคร แล้วก็บุกเข้าเมือง ฆ่าคนและเผาบ้านเมืองเสียหายไปหลายอยู่

แต่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เก่งจัด ไม่แน่ใจว่าต่อมาเอาชนะจามปาได้ยังไง แต่พอชนะแล้วก็สั่งให้สร้างนครธมขึ้นมา แล้วสร้างกำแพงเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก พร้อมทั้งปราสาทเต็มไปหมด ...อีกอย่างที่สำคัญในสมัยนี้ คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเปลี่ยนให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแทนที่ศาสนาพราหมณ์เดิมด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในนครธมจะมีศิลปะแบบพุทธเข้ามาผสมผสานด้วย

ทางเข้าเมืองดูอลังมาก (เสียดายไม่ได้ลงไปถ่ายรูป) แล้วก็ทางเข้าเป็นเทวดา(คาดว่าฝั่งซ้าย)และยักษ์(ฝั่งขวา)ฉุดนาค (เหมือนที่สุวรรณภูมิแหละ) พอเข้าไปก็จะผ่านปราสาทบายัน (ปราสาทหน้าคน) ก่อน แล้วก็จะไปเจอเพนียดคล้องช้าง มีระเบียงช้าง(ให้ขุนนางนั่ง) กับระเบียงนางอัปสร (สำหรับกษัตริย์นั่ง) อยู่ด้วย ..แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปตามเคย

จุดหมายต่อไปของเราคือ ปราสาทพระขรรค์ ซึ่งเดิมที่เคยสร้างไว้ประดิษฐสถาน "พระขรรค์ชัยศิลป์" (คาดว่าเป็นดาบคู่บ้านคู่เมืองขอมโบราณ แต่ตอนนี้อยู่ที่เมืองไทยเรียบร้อย ^^") แล้วก็เป็นที่ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างเพื่อเป็นอโรคยาศาล และถวายพระบิดาด้วย

ด้านหน้าของวัดก็จะมีรูปครุฑขี่พญานาค (ซึ่งอันนี้แสดงให้เห็นการผสมผสานของพุทธและพราหมณ์ เนื่องจากครุฑเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์ และพญานาคเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธ) ..เดินๆเข้าไปถ้าสังเกตตตามช่อระกาจะเห็นว่ารูปปั้นบางส่วนถูกสกัดออกไปแล้ว ..ไกด์เล่าว่า เนื่องจากพอสิ้นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เข้าสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 แล้ว มีการกลับมานับถือพรามณ์ดังเดิม ดังนั้นรูปปั้นที่เป็นรูปพระพุทธเจ้าก็จะถูกสกัดออกไป หรือดัดแปลงเป็นฤาษี หรือสัญลักษณ์อื่นๆของพราหมณ์แทน


ครุฑขี่พญานาค ซึ่งเป็นศิลปะแบบบายัน


เดินเข้าไปเรื่อยๆก็จะผ่านประตูที่เล็กลงเรื่อยๆ


หลังๆต้องก้มหัว ถึงจะผ่านได้

ตอนสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จะมีการสร้างโดยศิลปะแบบพุทธ แต่พอสิ้นสมัยของพระองค์ เป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ..ศาสนาพราหมณ์กลับมาเป็นศาสนาประจำชาติ เลยมีการสกัดส่วนที่แสดงถึงความเป็นพุทธออกไปเยอะอยู่


หลักฐานที่ส่วนที่เป็นศิลปะของศาสนาพุทธจะถูกสกัดออก


ตามเสา และกำแพงที่มีรูๆแบบนี้อยู่ แสดงว่าเมื่อก่อนมีการประดับพลอย


อันนี้เป็นนางอัปสราเวอร์ชั่นปกติ


อันนี้เวอร์ชั่น Sexy ...


555พี่ไกด์บรรรยายแหลกมากๆ ต้องพักนั่งฟังเป็นระยะๆ



รากไม้อันเป้ง .... ชื่อว่าต้นสบง

เดินไปเรื่อยๆจนถึงศูนย์กลางก็จะเจอโรงเรียนสอนนาฎศิลป์สมัยก่อน แล้วพอเลี้ยวซ้ายปก็จะเจอโรงเรียนสอนภาษาบาลี (ว่ากันว่าปราสาทนี้น่าจะเป็นมหาลัยของพุทธศาสนาด้วย) กับที่ตั้งของพระขรรค์ชัยศิลป์ (เราเดินเข้าด้านหน้าไปถึงจุดศูนย์กลางแล้วเลี้ยวออกทางด้านซ้าย)


ทางเข้าโรงเรียนสอนนาฏศิลป์


ด้านบนประตูจะเป็นรูปนางอัปสรร่ายรำ


อันนนี้เป็นโรงเรียนสอนภาษาบาลี


ระหว่างโรงเรียนสอนบาลีกับที่ตั้งพระขรรค์ชัยศิลป์


ที่ตั้งพระขรรค์ชัยศิลป์


มองรอบๆปราสาทจากด้านบนที่ตั้งพระขรรค์


อีกมุม


แล้วก็ได้เวลาอำลาปราสาท ..อันนี้มุมไหนไม่รู้แฮะ


นารายณ์บรรทมสินธ์




รูปรวมซักทีก่อนไป

เดี๋ยวตอนต่อไปไปปราสาทมากหน้าหลายตากันนะ (^^)

<<<< อ่านตอนที่แล้ว อ่านตอนต่อไป>>>>